บท
ตั้งค่า

chapter 5

“คือ...ต้องหาผ้าชิ้นใหญ่ ๆ มาใช้ห่อผักพวกนี้ให้สดชื่นให้มากที่สุดนะ ข้าทำคนเดียวคงจะต้องใช้เวลานาน หากพวกท่านต้องการให้รีบไป ก็ต้องช่วย”

รองแม่ทัพพยักหน้า นายทหารสองคนก็รีบตามเก้าเทียนรุ่ยไปที่หลังบ้าน

“ท่านรอข้าตรงนี้ก่อนนะ ข้าขอไปหาท่านแม่ ขอผ้าชิ้นใหญ่ ๆ มาใช้ก่อน อ๋อ...ข้าลืมไปเลย ท่านช่วยไปเอารถที่ข้าใส่ผักที่ยังอยู่หน้าบ้านมาให้ด้วยนะขอรับ”

สั่งความเสร็จเก้าเทียนรุ่ยก็รีบเดินไปหาท่านแม่เพื่อค้นหาสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ ก่อนจะออกมาจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นโดยเร็วไวและมิลืมที่จะไปบอกกล่าวเจ้าของบ้านที่ให้เขากับท่านแม่เช่าอยู่ด้วยอัตราค่าเช่าที่ถูกมากเพื่อให้มาเก็บผักที่เหลือไปกินและแจกจ่ายเพื่อนบ้าน เพราะเขามิรู้เลยว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือเปล่า...มิได้คิดไปเอง แต่โอกาสที่ได้กลับมาที่นี่มีน้อยมาก เมื่อคิดดูแล้ว ถึงอยู่ห่างไกลเช่นนี้ยังมีคนตามหาตัวจนเจอ มินานคนพวกนั้นก็อาจจะล่วงรู้ก็เป็นไปได้ เสร็จเรื่องนี้แล้วเก้าเทียนรุ่ยคิดว่าจะต้องปรึกษากับท่านแม่เรื่องหาที่อยู่ใหม่ให้ห่างไกลจากคนพวกนั้น...มากเท่าไหร่ยิ่งดี

“เจ้ายังมีสิ่งใดที่ต้องนำไปอีกไหม”

“มิ...มิมีแล้วขอรับท่ารองแม่ทัพ” เก้าเทียนรุ่ยรีบเดินไปประคองท่านแม่เดินตามหลังนายทหารไป

“เราไปกับเถอะขอรับท่านแม่” หากยังมิทันจะได้ออกเดินทาง ก็ต้องหยุดเพราะวาจาของรองแม่ทัพ

“อย่างไรเจ้าก็จะไปทำการรักษาคน ข้ามิใจดำให้ท่านหมอเช่นเจ้าเดินเท้าตามไปหรอกนะ”

มิต้องมองเช่นนั้น เก้าเทียนรุ่ยรู้ดีว่ารูปร่างผอมบางที่เจอลมแรงสักหน่อยก็อาจจะปลิวไปได้ ให้เดินทางไกลคงจะป่วยก่อนไปถึง แล้วยังไงล่ะ จะให้เขาไปอย่างไรในเมื่อมีทหารเพียงแค่สามคนกับตัวรองแม่ทัพและม้าอีกหนึ่งตัวเท่านั้น

เก้าเทียนรุ่ยมองคนกล่าวด้วยความสงสัย ก่อนที่ปากมันจะไวเผลอถามออกไปว่า

“ให้นั่งบนม้ากับท่านหรือ...ข้าขี่ม้ามิเป็นหรอกนะขอรับ อีกทั้งข้าก็มิอาจปล่อยให้ท่านแม่เดินเท้าในขณะที่ข้าขี่ม้ามิได้ด้วย”

หากคำตอบที่ได้รับนะหรือ...เขาได้ขี่ม้าจริง ๆ หากเป็นการขี่ร่วมกับท่านแม่ ขณะที่รองแม่ทัพที่มีเพียงหน้าเดียว...นิ่งสนิทราวกับมีหน้ากากสวมไว้เดินจูงม้า

มีหลายเรื่องที่เก้าเทียนรุ่ยอยากจะไถ่ถามออกไป หากเมื่อเจอกับความนิ่งเงียบของรองแม่ทัพและนายทหารผู้ติดตาม ก็เลยคิดว่า...ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ต้องเป็นละกัน!

“เอ่อ...ท่านรองแม่ทัพขอรับ” บุรุษตรงหน้ารีบยื่นมือมาห้ามเหมือนจะรู้ว่าเขานั้นคิดไถ่ถามอันใด แต่เพราะจำเป็นต้องรู้จึงต้องไถ่ถาม

“ถึงอย่างไรเราก็ต้องรู้ขอรับท่านแม่ อย่างน้อยข้าก็ควรจะได้รู้ไปบ้างว่า เขาผู้นั้นเป็นใครและป่วยมานานเท่าใดแล้ว อีกทั้งป่วยด้วยโรคประหลาดอันใด ไยท่านแม่ทัพถึงได้ดั้นด้นติดตามหาตัวข้าที่ก็ไร้ชื่อเสียงอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้เพื่อไปทำการรักษาทั้งที่มิรู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่”

“ไยต้องรู้ในยามนี้ ไปถึงก็ได้รู้”

เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลอกตาไปมา “จะรู้ช้าหรือเร็วก็รู้เหมือนกันมิใช่หรือขอรับ การที่ข้ารู้เร็วอาการ รู้ระยะเวลาที่ป่วยเร็วเท่าไหร่ จะยิ่งเป็นการดีกับการคิดหาหนทางช่วยเหลือได้เร็วมิใช่หรืออย่างไร...รู้ช้า เกิดรักษามิได้ ข้าก็ยังพอจะได้มีเวลาคิดว่าทำอย่างไร หัวข้ากับท่านแม่จะยังอยู่ที่เดิม มิถูกตัดจนแยกห่างจากกัน” กล่าวออกไปแล้วเก้าเทียนรุ่ยก็เพิ่งจะคิดขึ้นมาได้ จะยกมือปิดปากในตอนนี้ก็มิทันแล้ว ก็เลยได้แต่กลอกตาและถูกมือท่านแม่เพื่อบอกให้ท่านใจเย็นที่สุด

“ข้ารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นผู้ที่มีความสำคัญมาก...มิเช่นนั้นคงจะมิทำให้ท่านที่เป็นถึงรองแม่ทัพจะต้องมาเชิญข้าด้วยตนเอง...ถึงแม้จะมิเต็มใจที่จะมาก็ตาม” หากมิใช่ว่าเร่งรีบให้ไปทำการรักษาและปรุงอาหารให้คนผู้นั้นได้กินเพื่อจะได้ให้หายจากการเจ็บป่วยโดยเร็วละก็...ท่านรองแม่ทัพคงจะมิยินยอมทำตามความต้องการของเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้หรอกนะ

อย่างไรนะหรือ...ครั้งแรกจะพาเก้าเทียนรุ่ยผู้นี้ไปเพียงลำพังนะสิ หากเมื่อเขายืนยัน...นอนยัน อย่างไรก็มิยอมไป หากมิพาท่านแม่และข้าวของทั้งหมดไปด้วย จากที่ต้องเดินทางกันเลยก็ต้องรอคอยเพื่อจัดเตรียมรถม้าและรถที่สามารถพาผักของเขาไปด้วยนะสิ

“เหลียนซีฮัน...เสวียนลิ่วหลาง”

“มีอันใดหรือขอรับท่านแม่” ยังมิทันจะสิ้นวาจาของรองแม่ทัพ ท่านแม่ก็ใบหน้าซีดเผือดแล้ว เหมือนอยากจะพูดอันใดกับเขา หากก็มิกล้าหรืออาจจะตกใจและหวาดกลัวเกินกว่าจะกล่าวออกมา

หากเก้าเทียนรุ่ยคิดมิผิด นามที่ถูกกล่าวถึงดูท่าจะเป็นบุรุษ...ที่น่าจะเป็นบุรุษที่มีความสำคัญยิ่ง

“ท่านแม่เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ เขาผู้นั้นเป็นใคร...มิต้องกลัวขอรับ หากเรามิทำสิ่งใดผิด เขาก็เอาผิดเรามิได้” ก็กล่าวไปอย่างนั้นเองแหละ ด้วยรู้ว่าสำหรับบางคนแล้ว...อำนาจอยู่ในมือ จะทำอันใดก็ทำได้ทั้งนั้น ชีวิตตนเองคือที่สุด ส่วนชีวิตผู้อื่นนะหรือ...ก็แค่ขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น จะเป็นจะตายไม่มีค่าให้สนใจ

“เกิดอันใดขึ้น” ด้วยว่าท่านแม่ยังมิทันจะได้กล่าวอันใด ด้านนอกรถม้าก็มีเสียงดังขึ้น ทำให้เก้าเทียนรุ่ยรีบยื่นมือออกไปเปิดผ้าม่านออกดู ก็เหมือนจะพบว่ามิมีสิ่งใดผิดปกติไป

“ท่านแม่รอในนี้นะขอรับ ข้าจะลงไปดูว่าด้านล่างนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ”

“อย่าเลยเอ้อร์เอ๋อร์ อันตราย”

“มิเป็นไรขอรับ ตัวข้ายังมีความสำคัญอยู่ ท่านแม่ทัพหน้าตายผู้นั้นมิยอมให้ข้าเป็นอันใดไปเด็ดขาด...มิเป็นไรขอรับ ข้าเอาตัวรอดได้” เก้าเทียนรุ่ยส่งยิ้มให้กับท่านแม่ที่พยายามห้ามมิให้ลงจากรถม้า

“เชื่อใจข้านะขอรับ มิว่าเกิดอันใดขึ้น ข้าเอาตัวรอดได้และยังจะพาท่านแม่หนีไปได้ด้วย” มิได้เชื่อมั่นในพลังของตนเองหรอกนะ หากเชื่อในบางสิ่งบางอย่างที่คนผู้นั้นให้ติดตัวมากับการมาอยู่อาศัยในร่าง...เก้าเทียนรุ่ย

“ระวังตัวด้วยนะเอ้อร์เอ๋อร์”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel