chapter 3
สามีปีผ่านไปความต้องการของซิงเยียนฮูหยินก็ประสบผลสำเร็จ นางตั้งครรภ์และคราวนี้ก็ได้บุตรชายสมใจ และนั่นก็ยิ่งทำให้นางเกิดความคิดที่ว่า...ต้องรีบกำจัดเก้าเทียนรุ่ยและท่านแม่ให้พ้นทาง เพื่อที่บุตรชายของนางจะได้เป็นผู้นำตระกูลเก้า แต่เหมือนกับว่าเก้าเทียนรุ่ยจะเป็นคนที่มีเทพคอยปกปักคุ้มครอง ทำให้คลาดแคล้วจากเรื่องร้ายได้เสมอ
แต่จะเป็นไปได้หรือที่คนเราจะแคล้วคลาดจากเรื่องร้ายได้ตลอดไป สุดท้ายแล้วก็มิรู้ว่าซิงเยียนฮูหยินใช้วิธีการใด ท่านย่าจึงบอกกล่าวให้ท่านแม่พาเก้าเทียนรุ่ยไปขอพรให้กับท่านพ่อ นั่นทำให้เก้าเทียนรุ่ยกับท่านแม่ต้องประสบกับเรื่องร้ายแรง!
พวกเราเจอกับโจรร้ายที่ดูเหมือนจะมิอยากได้ข้าวของ หากอยากได้ชีวิตของเก้าเทียนรุ่ยกับท่านแม่เสียมากกว่า เก้าเทียนรุ่ยปกป้องท่านแม่จนตัวตาย ขณะที่ท่านแม่กำลังจะถูกทำร้ายก็กลายเป็นเขาที่ฟื้นขึ้นมาอย่างงุนงงและสับสน ในตอนนั้นเขามิรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง รู้เพียงแค่ว่าตนเองสามารถขอความช่วยเหลือจากเหล่าต้นไม้ใบหญ้าให้ช่วยกันปกป้องและยังจะช่วยพาเราสองคนหนีจนปลอดภัยด้วย
เราสองแม่ลูกหลบซ่อนกายอยู่ในป่าอยู่หลายวัน จนแน่ใจว่ารอดพ้นจากน้ำมือโจรร้ายพวกนั้นแล้วจริง ๆ ท่านแม่จึงพาเขากลับไปที่เรือน หากสิ่งที่รับรู้คือ...คนในเรือนรับรู้ว่าเก้าเทียนรุ่ยกับท่านแม่ถูกโจรดักปล้นและถูกฆ่าตายเสียแล้ว อีกทั้งท่านแม่ก็รู้ดีว่าตอนนี้ผู้ที่อยู่อาศัยในร่างของเก้าเทียนรุ่ยนั้นมิใช่บุตรชายของตระกูลเกาอีกแล้ว ท่านแม่จึงเลือกที่จะพาเขาหลบออกมาโดยมิให้ผู้ใดสังเกตเห็น
เขาคิดว่าลึก ๆ แล้วท่านแม่คงรู้ว่าโจรพวกนั้นไม่ใช่โจรป่าทั่วไปที่แย่งชิงข้าวของ แต่เป็นนักฆ่าที่ถูกสั่งให้มากำจัดบุตรชายที่จะเป็นผู้นำของตระกูลเกาคนต่อไป นางอยากจะปกป้องร่างของเก้าเทียนรุ่ยและเขามิให้ถูกทำร้ายอีก
เขาเล่าให้ท่านแม่ฟังว่าเป็นใคร มาจากที่ใด แต่มิรู้ว่ามาด้วยเหตุผลอะไร ท่านแม่จึงเลือกที่จะเรียกเขาว่าเอ้อร์เอ๋อร์ที่หมายความว่าบุตรชายคนที่สองแทนนามเดิมของเก้าเทียนรุ่ยที่นางมักจะเรียกว่า...รุ่ยเอ๋อร์ มิใช่เพียงแค่ปกปิดนามหากแต่เป็นการปกปิดตัวตนมิให้คนที่คิดไม่ดีรู้ว่าเก้าเทียนรุ่ยยังคงมีชีวิตอยู่
เมื่อเราต้องอยู่ที่อื่นที่มิใช่เรือนตระกูลเก้า เราก็ต้องมีเงินจ่ายค่าเช่าบ้านรวมถึงซื้อข้าวของต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ นั่นก็ทำให้เขาล่วงรู้ถึงความสามารถพิเศษที่คนผู้นั้นให้ติดกายมา มันคือการปลูกพืชผักที่ทั้งโตเร็วและยังจะใหญ่กว่าของผู้อื่น อีกทั้งยังใช้รักษาอาการป่วยไข้ได้ด้วย
“ท่านแม่มิได้รังเกียจที่จะให้ข้าเป็นบุตรของท่านใช่ไหมขอรับ”
“ขอบใจนะเอ้อร์เอ๋อร์...ขอบใจนะลูก”
เขารีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของมารดา และรีบพาสนทนาเรื่องอื่นที่มิใช่เรื่องที่ทำให้ท่านแม่สะเทือนใจ “ท่านแม่จะไปงานเลี้ยงที่ท่านลุงและท่านป้าสงเชื้อเชิญใช่ไหมขอรับ”
“หากเอ้อร์เอ๋อร์อยากให้แม่ไป แม่ก็จะไป”
“ดีมากขอรับ เช่นนั้นท่านแม่รีบไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์นะขอรับ ข้าเองก็จะรีบไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายเช่นกัน” เก้าเทียนรุ่ยประคองร่างบอบบางที่ตอนนี้ผอมจนคิดว่าหากเจอกับพายุลมแรงสักหน่อย...อาจจะปลิวไปกับสายลมก็เป็นไปได้พาเดินไปส่งที่ห้อง
“ข้ารักท่านแม่นะขอรับ”
“ขอบใจนะเอ้อร์เอ๋อร์”
“คุณชายเอ้อร์เอ๋อร์!”
เท้าที่ก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงัก สองมือที่จับรถบรรทุกผักคันเล็กจิกเกร็ง ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้และหันไปมองท่านแม่ที่ตอนนี้มีสีหน้ามิสู้ดี ด้วยทุกครั้งที่มีคนมาที่นี่ ท่านแม่ก็จะคิดไปว่าเราสองคนถูกค้นพบ คนที่มาจะต้องคิดทำร้ายเก้าเทียนรุ่ย
“มิมีอันใดขอรับ พวกเขาคงจะมา...ขอให้ข้ารักษานะ” เขารีบบอกพร้อมกับยื่นมือไปจับมือท่านแม่เอาไว้ ด้วยรู้ดีว่าท่านมิสบายใจเท่าไหร่ที่ได้เห็นทหารมาเยือนถึงเรือน
“คนพวกนั้น...คงจะยังไม่รู้ว่าเราสองคนแม่ลูกยังมีชีวิตอยู่นะขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยกระซิบบอก แม้ก่อนหน้านั้นท่านแม่จะเป็นเก้าฮูหยินก็ตาม หากเดี๋ยวนี้นั้น ท่านแม่คือท่านแม่ของท่านหมอเอ้อร์เอ๋อร์ที่มีเพียงผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ เกือบจะอยู่ติดชายแดนเท่านั้นรู้จัก ที่นี่ห่างไกลความเจริญมากพอที่จะมิมีข่าวเรื่องราวของเก้าฮูหยินและคุณชายเก้าเทียนรุ่ยหลุดรอดออกไป หากตอนนี้เขาก็เริ่ม...มิแน่ใจเสียแล้ว
“ขอรับ” ความจริงแล้วเขาอยากจะตอบไปว่ามิใช่ หากดูเหมือนทหารที่มาคงจะสืบสาวราวเรื่องมาเป็นอย่างดี จนมั่นใจแล้วว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้คือคนที่พวกเขาต้องการพบตัว การปฏิเสธออกไปจึงน่าจะมิใช่เรื่องดีที่ควรทำ
“มิทราบว่าพวกท่านมาหาข้าด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ”
“ขอเชิญท่านไปกับเราด้วย”
“เดี๋ยว! หยุดก่อน” เก้าเทียนรุ่ยรีบยกมือกันมิให้ทหารสามนายเดินมาหา ก่อนจะรู้ว่ามันมิได้ผลก็เลยรีบใช้รถบรรทุกผักคันเล็กมาดักเอาไว้แทน
“ท่านต้องบอกให้ข้ารู้ก่อน จะให้ข้าไปที่ไหน ไปด้วยเรื่องอันใด...มิเช่นนั้นข้ามิไป ถึงพวกท่านจะใช้กำลังบังคับ ก็อย่าคิดว่าจะพาข้าไปจากที่นี่ได้ง่าย ๆ ข้า...ข้าสู้แค่ตายเท่านั้น”
เขามิต้องการเปิดเผยความสามารถที่มีให้ผู้อื่นล่วงรู้ แต่หากมันถึงคราวจำเป็นต้องใช้ เก้าเทียนรุ่ยก็มิรีรอเลย ถึงจะมิเก่งกล้าหากก็คิดว่าสามารถพาตนเองและท่านแม่หนีไปได้แน่นอน ยิ่งสภาพที่เป็นอยู่ยามนี้ หนุ่มน้อยร่างโปร่งบาง หน้าตามอมแมมเพราะคลุกดินคลุกโคลนกับหญิงชราผู้หนึ่ง ย่อมมิเป็นที่สนอกสนใจของผู้ใดแน่
“พวกเจ้าหยุดก่อน”
เก้าเทียนรุ่ยรีบมองผู้มาใหม่ที่นั่งอยู่บนม้าสีดำราวกับนิล หากแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลัง ทำให้มองหน้าคนผู้นี้มิชัด ทว่าสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือรัศมีแห่งความมีอำนาจ...พลังที่ทำให้รู้สึกว่ารายรอบกายมันเย็นยะเยือก มันอึดอัด มันกดดันจนแทบมิกล้าจะหายใจ ในหัวมีข้อความหนึ่งดีดขึ้นมา...
หากเป็นศัตรูกับคนผู้นี้ ก็เหมือนกับว่าเขาย่างเท้าข้างหนึ่งไปเยือนน้ำพุเหลือง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังอยากอยู่เงียบ ๆ กับท่านแม่ ปลูกผักและค้าขายอย่างเช่นทุกวันนี้ ก็เลยคิดว่า ต่อให้คนตรงหน้าจะน่ากลัวเพียงใด ก็ยังเลือกที่จะมิยุ่งเกี่ยวจะเป็นการดีกว่า
“ขอรับรองแม่ทัพ”
รองแม่ทัพ!
