บท
ตั้งค่า

บทที่ 8: เพลย์ลิสต์ส่วนตัว...ของคนสองคน

หลายวันผ่านไปนับจากคืนที่บทเพลงของสายลมได้เดินทางข้ามผ่านคลื่นสัญญาณที่ติดขัดไปปลอบประโลมหัวใจของปลายฟ้า การสื่อสารของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนรูปแบบไปโดยสิ้นเชิง การวิดีโอคอลที่เคยกดดันและสร้างความหงุดหงิดถูกลดความสำคัญลง กลายเป็นเพียงทางเลือกสำหรับวันที่อินเทอร์เน็ตเป็นใจจริงๆ เท่านั้น แต่สิ่งที่เข้ามาแทนที่และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพวกเขาก็คือ ‘คลิปเสียง’

มันได้กลายเป็นเพลย์ลิสต์ส่วนตัวของคนสองคน...

บทสนทนาที่ยาวเหยียดถูกย่อยออกเป็นคลิปเสียงสั้นๆ ที่ส่งหากันตลอดทั้งวัน มันเริ่มต้นในตอนเช้าด้วยเสียงงัวเงียของปลายฟ้าที่อัดเสียงบ่นเรื่องไม่อยากลุกไปโรงเรียน และเสียงตอบกลับของสายลมที่เล่าว่าเมื่อคืนเขาดูบอลดึกไปหน่อย วันนี้เลยเกือบมาโรงเรียนสาย

ในช่วงพักกลางวัน ปลายฟ้าจะส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเธอกับสายฝนมาให้ฟัง ส่วนสายลมก็จะส่งเสียงความวุ่นวายของหมอกที่กำลังแกล้งเพื่อนในห้องกลับไป มันเป็นเหมือนการเปิดหน้าต่างบานเล็กๆ ให้แต่ละฝ่ายได้มองเห็นโลกของอีกคนหนึ่ง ได้รับรู้ว่าในแต่ละวันของกันและกันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

และในช่วงค่ำคืนที่เงียบสงบ คือช่วงเวลาที่คลิปเสียงของพวกเขาจะยาวนานและมีความหมายมากที่สุด...

บ่ายวันเสาร์ที่อากาศสดใสเป็นพิเศษ ปลายฟ้าตัดสินใจลองทำช็อกโกแลตชิปคุกกี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เธอกางตำราอาหารบนโต๊ะในครัว เตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์อย่างขะมักเขม้น โดยมีคุณยายนั่งยิ้มดูอยู่ไม่ไกล

“ค่อยๆ ร่อนแป้งนะลูก เดี๋ยวจะฟุ้งไปทั่วครัว” คุณยายเอ่ยเตือนอย่างใจดี

“ค่าคุณยาย” ปลายฟ้ารับคำอย่างว่าง่าย เธอทำตามขั้นตอนในตำราอย่างตั้งใจ กลิ่นหอมหวานของเนยและน้ำตาลที่ถูกตีจนขึ้นฟูทำให้บรรยากาศในครัวอบอวลไปด้วยความสุข ขณะที่รอให้คุกกี้ในเตาอบได้ที่ ปลายฟ้าก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเสียบหูฟัง เธอเปิดเพลย์ลิสต์โปรดของเธอ... ซึ่งก็คือแชทของเธอกับสายลมนั่นเอง

เธอไล่ฟังคลิปเสียงที่เขาเพิ่งส่งมาให้เมื่อคืน มันเป็นเสียงบ่นอุบอิบเรื่องการบ้านวิชาฟิสิกส์ที่แสนน่าเบื่อ สลับกับเสียงหัวเราะที่เขาเล่าเรื่องตลกฝืดๆ ของหมอก และที่เธอชอบที่สุด... คือเสียงกีตาร์ที่เขาดีดเล่นเบาๆ เป็นทำนองเพลงใหม่ที่เขากำลังหัดแต่งอยู่ มันยังไม่เป็นเพลงที่สมบูรณ์ แต่สำหรับปลายฟ้าแล้ว มันคือท่วงทำนองที่ไพเราะที่สุดในโลก

เธอนั่งฟังเสียงของเขาพลางอมยิ้มอยู่คนเดียว กลิ่นหอมกรุ่นของคุกกี้ที่อบเสร็จใหม่ๆ ลอยมาแตะจมูก ผสมผสานกับเสียงทุ้มๆ และเสียงกีตาร์ของเขาที่ดังอยู่ในหู มันเป็นความรู้สึกที่ปลอดภัย อบอุ่น และเหมือนกับว่าเขากำลังนั่งอยู่ตรงนี้... ในครัวที่แสนสุขของเธอ

ติ๊ง!

คุกกี้อบเสร็จพอดี เธอหยิบมันออกมาจากเตา วางเรียงบนตะแกรงอย่างสวยงาม ก่อนจะหยิบชิ้นที่ดูดีที่สุดขึ้นมาถ่ายรูป แล้วกดส่งไปให้สายลมพร้อมกับคลิปเสียงสั้นๆ

“เสร็จแล้ว! คุกกี้ครั้งแรกในชีวิตของเราเอง กลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งบ้านเลย อยากวาร์ปไปให้ชิมจัง!”

ที่กรุงเทพฯ ในเวลาเดียวกัน สายลมกำลังเดินสะพายกล้องถ่ายรูปคู่ใจไปตามทางเดินริมคลองแสนแสบ แสงแดดยามบ่ายที่ส่องกระทบผิวน้ำทำให้เกิดประกายระยิบระยับ เขามาที่นี่เพื่อหาแรงบันดาลใจสำหรับโปรเจกต์ถ่ายภาพของชมรมในหัวข้อ ‘สีสันของชีวิต’ แต่ไม่ว่าจะยกกล้องขึ้นเล็งกี่ครั้ง เขาก็ยังไม่เจอภาพที่ถูกใจเลยสักภาพ

ตึ๊ง!

เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ทำให้เขาหยุดเดิน เขาหยิบมันขึ้นมาดูแล้วก็ต้องเผลอยิ้มออกมาทันทีที่เห็นภาพคุกกี้สีน้ำตาลทองที่น่ากินของปลายฟ้า เขากดฟังคลิปเสียงของเธอ น้ำเสียงที่สดใสและเจือความตื่นเต้นเล็กๆ นั้นทำให้หัวใจของเขาพองโต

เขามองภาพคุกกี้ในจอ สลับกับมองภาพความวุ่นวายของเมืองใหญ่ตรงหน้า... แล้วเขาก็เข้าใจในทันที

แรงบันดาลใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ทิวทัศน์ที่สวยงามอลังการ หรือสีสันที่ฉูดฉาดของเมืองหลวง แต่อยู่ในความธรรมดาที่แสนพิเศษของปลายฟ้าต่างหาก... อยู่ในรอยยิ้มของเธอ เสียงหัวเราะของเธอ และเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันของเธอ

ความคิดนั้นทำให้มุมมองของเขาเปลี่ยนไป เขาลดกล้องลงจากภาพวิวแม่น้ำ แล้วหันไปถ่ายภาพดอกหญ้าเล็กๆ ที่แทงยอดขึ้นมาจากร่องปูนริมทางเดิน... มันเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขา ที่เติบโตขึ้นมาได้ในที่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

เขาถ่ายภาพคุณลุงคุณป้าที่นั่งจับมือกันอยู่บนม้านั่ง... มันคือภาพอนาคตที่เขาแอบวาดหวัง

เขาถ่ายภาพท้องฟ้าสีครามที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำนิ่งๆ... มันคือสีสันของชีวิตที่เขาอยากจะแบ่งปันให้เธอได้เห็น

คืนนั้น... หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเหนื่อยล้ามาจากกิจกรรมของตัวเอง พวกเขาก็กลับมาสู่พื้นที่ปลอดภัยของกันและกันอีกครั้งผ่านคลิปเสียงที่ส่งโต้ตอบกันไปมา

“คุกกี้น่ากินมากเลยนะ ไว้ฉันจะรอชิมฝีมือแก” เสียงของสายลมดังขึ้น

“ได้เลย! แล้วโปรเจกต์ถ่ายรูปของนายล่ะ เป็นไงบ้าง?” เสียงของปลายฟ้าตอบกลับ

“ก็... ได้รูปมาเยอะเลยล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะส่งไปให้ดูนะ”

บทสนทนาของพวกเขาดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งน้ำเสียงของปลายฟ้าเริ่มอ่อนลงและเจือความง่วงอย่างเห็นได้ชัด

“ง่วงแล้วเหรอ?” สายลมถามกลับไปอย่างอ่อนโยน

“อื้อ... ง่วงมากเลย... วันนี้ช่วยคุณยายทำสวนทั้งวันเลย”

“งั้น... เดี๋ยวนะ” สายลมพูดเบาๆ เขาหยิบกีตาร์ขึ้นมาวางบนตัก แล้วกดอัดคลิปเสียงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้พูดอะไรเลย เขาเพียงแค่เริ่มบรรเลงท่วงทำนองที่นุ่มนวลและเรียบง่าย เป็นเมโลดี้ที่เขาเพิ่งแต่งขึ้นมาใหม่สดๆ ร้อนๆ... บทเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง แต่เต็มไปด้วยความห่วงใย

เขาส่งคลิปเสียงนั้นไปให้เธอ แล้วรอ...

เวลาผ่านไปห้านาที... สิบนาที... ก็ยังไม่มีการตอบกลับ เขาจึงพิมพ์ข้อความสั้นๆ ส่งไป

‘หลับแล้วเหรอ?’

...ไม่มีการตอบกลับ...

สายลมยิ้มออกมาคนเดียว เขานึกภาพของปลายฟ้าที่กำลังนอนหลับโดยมีเสียงกีตาร์ของเขาเป็นเพลงกล่อมเด็กอยู่ข้างหู ความรู้สึกปกป้องและเอ็นดูท่วมท้นขึ้นมาในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่เขากำลังแต่งตัวไปโรงเรียน ข้อความหนึ่งก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ

Plaifah T: เมื่อคืนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ขอโทษนะ . เพลงของนาย...มันเหมือนยานอนหลับชั้นดีเลย 555 ขอบคุณนะ :)

สายลมอ่านข้อความนั้นแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ เขาพิมพ์ตอบกลับไปว่า ‘รู้แล้วน่า ยัยขี้เซา’

เพลย์ลิสต์ส่วนตัวของพวกเขายังคงดำเนินต่อไปทุกวัน มันอาจจะเป็นเพลย์ลิสต์ที่คนอื่นไม่เข้าใจ แต่สำหรับคนสองคนที่อยู่ห่างไกลกันแล้ว... มันคือบทเพลงที่ไพเราะและมีความหมายมากที่สุดในโลก
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel