บทที่ 7: คลื่นรบกวน...
โลกของเด็กวัยมัธยมปลายไม่ได้หมุนรอบแค่การบ้านและกิจกรรมชมรมเสมอไป สำหรับสายลมแล้ว เข็มนาฬิกาของเขาดูจะเดินช้าลงในทุกๆ วัน และจะเริ่มหมุนเร็วขึ้นอีกครั้งในช่วงเวลาสองทุ่มตรง... เวลาพิเศษที่เขากับปลายฟ้ามักจะนัดวิดีโอคอลกันผ่านแอปพลิเคชัน LINE
เย็นวันศุกร์ที่แสนน่าเบื่อวันหนึ่ง หลังจากที่สายลมจัดการการบ้านที่น่าปวดหัวเสร็จสิ้น เขาก็รีบจัดแจงโต๊ะคอมพิวเตอร์ของตัวเองให้เรียบร้อย เขาวางโทรศัพท์มือถือไว้บนแท่นจับอย่างดี จัดมุมกล้องให้แสงไฟในห้องส่องกระทบใบหน้าให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในมือของเขามีกีตาร์โปร่งคู่ใจวางอยู่บนตัก วันนี้เขามีเรื่องสำคัญจะอวดเพื่อนซี้ที่อยู่ไกลถึงเชียงใหม่... เขาสามารถเล่นเพลงใหม่ที่เธอเคยบอกว่าชอบได้จนจบเพลงแล้ว
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นไม่นาน ใบหน้าที่เขาเฝ้ารอคอยก็ปรากฏขึ้นเต็มหน้าจอ ปลายฟ้าในชุดนอนลายกระต่ายน่ารักกำลังส่งยิ้มหวานมาให้ รอยยิ้มที่สามารถเปลี่ยนห้องนอนสี่เหลี่ยมธรรมดาๆ ของเขาให้สว่างไสวขึ้นมาได้ในทันที
“ว่าไงยัยตัวเล็ก วันนี้แต่งตัวสวยเป็นพิเศษเลยนะ มีนัดกับหนุ่มที่ไหนรึเปล่า” เขาเอ่ยแซวตามสัญชาตญาณ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความหยอกล้อที่คุ้นเคย
ภาพรอยยิ้มของปลายฟ้าเริ่มกระตุกเล็กน้อย เสียงของเธอที่ตอบกลับมาขาดๆ หายๆ ราวกับมาจากใต้น้ำ “นาย...ว่า...อะไรนะ...สัญ...ญาณ...ไม่...ค่อย...”
“ฉันบอกว่า... แก... สวย!” สายลมพยายามพูดช้าๆ และดังขึ้นกว่าเดิม หวังว่าเสียงของเขาจะเดินทางฝ่าคลื่นสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่อ่อนแรงไปถึงเธอได้ แต่ภาพของปลายฟ้ากลับค้างเติ่งไปเสียแล้ว ใบหน้าสวยหวานของเธอหยุดนิ่งด้วยรอยยิ้มที่ดูบิดเบี้ยวผิดรูป เหลือเพียงวงล้อเล็กๆ ที่หมุนติ้วๆ อยู่กลางหน้าจอ เป็นสัญลักษณ์แห่งความพ่ายแพ้ที่เขามักจะเจออยู่บ่อยครั้ง
‘การเชื่อมต่อไม่เสถียร’
ข้อความแจ้งเตือนสีเทาปรากฏขึ้นมาตอกย้ำความจริงที่น่าหงุดหงิด สายลมกัดฟันกรอด เขาทุบโต๊ะคอมพิวเตอร์เบาๆ ด้วยความหัวเสีย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ แต่ไม่ว่าจะเจอกี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยชินกับมันได้เลย ความรู้สึกเหมือนถูกขัดจังหวะในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของวันมันช่างน่าโมโห
ไม่กี่นาทีต่อมา การเชื่อมต่อก็กลับมาอีกครั้ง แต่ความลื่นไหลของบทสนทนาก็ได้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว
“เมื่อกี้... นายพูดว่าอะไรนะ?” ปลายฟ้าถาม สีหน้าของเธอดูสับสน
“ช่างมันเถอะ” สายลมตอบเสียงห้วน เขารู้สึกเสียอารมณ์จนไม่อยากจะพูดซ้ำอีกต่อไป “แล้วที่โรงเรียนเป็นไงบ้าง?”
“ก็...ดี...นะ...เมื่อเช้า...มี...” เสียงของเธอเริ่มขาดหายไปอีกครั้ง และภาพก็เริ่มแตกเป็นโมเสกหลากสี
“ปลายฟ้า? ได้ยินไหม? เฮ้ย! ปลายฟ้า!” เขาตะโกนเรียกชื่อเธอ แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบและภาพที่ค้างสนิท
‘สิ้นสุดการโทร’
หน้าจอตัดกลับมาที่ห้องแชทสีเขียวที่ว่างเปล่า ทิ้งให้สายลมจ้องมองมันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งหงุดหงิด ผิดหวัง และเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก เขากระแทกโทรศัพท์ลงบนเตียงอย่างแรง ความตั้งใจทั้งหมดที่เตรียมมาพังทลายไม่เป็นท่า เขาอยากจะระบายอารมณ์ด้วยการตะโกนดังๆ แต่ก็ทำได้เพียงแค่กำหมัดแน่นแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เขาทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียง จ้องมองเพดานห้องที่ว่างเปล่า ความรู้สึกอัดอั้นมันตีตื้นขึ้นมาในอก ระยะทางเจ็ดร้อยกิโลเมตรมันช่างเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน บางครั้งเขาก็รู้สึกเหนื่อย... เหนื่อยกับการต้องพยายามสื่อสารผ่านหน้าจอที่ไร้ชีวิตชีวา เหนื่อยกับการที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มจริงๆ ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะจริงๆ และไม่ได้อยู่ตรงนั้นในเวลาที่เธอต้องการใครสักคน
“เป็นห่าอะไรของมึงวะ?” เสียงของหมอกที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในมือถามขึ้น เขามองสภาพเพื่อนซี้ที่นั่งหน้าบูดเป็นตูดลิงอยู่ปลายเตียงด้วยความสงสัย
“เปล่า” สายลมตอบสั้นๆ
“เปล่าพ่อง” หมอกสวนกลับทันที “หน้าอย่างนี้มีอยู่เรื่องเดียว... ทะเลาะกับแฟนที่เชียงใหม่มาอ่ะดิ”
“ปลายฟ้าเป็นเพื่อนกู” สายลมแก้เสียงแข็ง
“เออๆ เพื่อนก็เพื่อน” หมอกลากเสียงยาวอย่างไม่ใส่ใจ เขานั่งลงบนเก้าอี้ของสายลมแล้วเริ่มโซ้ยบะหมี่เสียงดังซู้ดซ้าด “แล้วเป็นไรล่ะ เน็ตเน่าอีกตามเคย?”
สายลมพยักหน้าเงียบๆ ก่อนจะระบายความในใจออกมา “แม่งโคตรน่ารำคาญเลยว่ะ กูแค่อยากคุยกับเขาดีๆ อยากเล่นกีตาร์ให้ฟัง... แค่นั้นเอง”
“กูก็บอกแล้ว ให้มึงเปลี่ยนโปรเน็ต” หมอกพูดทั้งที่บะหมี่ยังเต็มปาก “หรือถ้ามันยากนัก มึงก็นั่งรถไฟไปหาเขาเลยดิ จบๆ”
“พูดง่ายนี่หว่า” สายลมสวน “กูจะเอาเวลาที่ไหนไปวะ แล้วจะไปนอนที่ไหน จะบอกพ่อแม่ว่าไง?”
“เรื่องของมึง” หมอกยักไหล่ “แต่ถ้ามึงยังปล่อยให้เรื่องแค่นี้มาทำให้หงุดหงิด มึงนั่นแหละที่จะประสาทแดกตายก่อน”
บทสนทนาจบลงแค่นั้น แต่คำพูดของหมอกก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของสายลม เขาอ่อนแอเกินไปรึเปล่าที่ปล่อยให้เรื่องแค่นี้มาทำลายความตั้งใจของตัวเอง?
ที่เชียงใหม่ ในคืนวันศุกร์ที่สายฝนมานอนค้างที่บ้านด้วย บรรยากาศที่ควรจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกลับเงียบลงทันทีที่ปลายฟ้าวางสายจากวิดีโอคอลที่ล่มไม่เป็นท่า
สายฝนที่นอนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียงอีกฝั่ง ละสายตาจากหนังสือแล้วมองเพื่อนสนิทที่เพิ่งวางสายด้วยความเป็นห่วง “คุยกับสายลมไม่รู้เรื่องอีกแล้วล่ะสิ”
ปลายฟ้าพยักหน้าเงียบๆ ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียง จ้องมองเพดานด้วยแววตาว่างเปล่า
“บางทีเราก็เหนื่อยนะฝน” ปลายฟ้าพึมพำเสียงแผ่ว “เหนื่อยที่ต้องมานั่งลุ้นกับสัญญาณเน็ต เหนื่อยที่พูดอะไรไปเขาก็ได้ยินไม่ชัด เหนื่อยที่อยากจะอยู่ตรงนั้นแต่ก็ทำไม่ได้”
สายฝนคลานเข้ามาหาเพื่อนรัก กอดเธอไว้หลวมๆ “ฉันเข้าใจ... ความสัมพันธ์ทางไกลมันก็แบบนี้แหละ มันต้องใช้ความอดทนและความพยายามมากกว่าปกติหลายเท่าเลยนะ”
“แล้วถ้าวันหนึ่งเราเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้วล่ะ?” ปลายฟ้าถามด้วยความกังวล
“เหนื่อยก็พักสิ” สายฝนพูดด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น “แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ยอมแพ้นะ... ลองเปลี่ยนวิธีดูไหมล่ะ? บางทีการวิดีโอคอลที่ต้องพึ่งพาสัญญาณเน็ตแรงๆ ตลอดเวลาอาจจะสร้างความกดดันให้เรามากเกินไป ลองเปลี่ยนเป็นพิมพ์ข้อความยาวๆ เล่าเรื่องที่อยากเล่า หรืออัดเป็นคลิปเสียงสิ มันอาจจะไม่ได้เห็นหน้ากันทันที แต่ทุกตัวอักษร ทุกคำพูด มันจะยังคงอยู่ตรงนั้นให้เขากลับมาฟังเมื่อไหร่ก็ได้นะ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องกดดัน”
คำแนะนำของสายฝนทำให้ปลายฟ้าฉุกคิด มันอาจจะเป็นทางออกที่ดีกว่าจริงๆ ก็ได้ การสื่อสารไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์เสมอไป ขอแค่ความรู้สึกยังส่งไปถึงกันก็คงจะเพียงพอ “ขอบใจนะฝน เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว” สายฝนยิ้มกว้าง “เอ้า! ลุกขึ้นไปมาร์กหน้ากันดีกว่า อย่าปล่อยให้เรื่องแค่นี้มาทำให้เราสวยน้อยลง”
หลังจากที่หมอกกลับไปแล้ว สายลมยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ความรู้สึกผิดเริ่มเข้ามาแทนที่ความหงุดหงิด เขาไม่น่าไปหัวเสียใส่ปลายฟ้าแบบนั้นเลย เธอเองก็คงจะรู้สึกแย่ไม่ต่างกัน
เขานึกถึงคำพูดของเมฆที่เคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้ว ‘มันคือบททดสอบ ถ้าผ่านไปได้ ความสัมพันธ์ของแกก็จะแข็งแรงขึ้นเอง’
เขาจะต้องผ่านมันไปให้ได้...
เขาหยิบกีตาร์ขึ้นมากอดไว้ ความรู้สึกหลากหลายที่ตีกันอยู่ในหัวค่อยๆ ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นท่วงทำนอง เขาพยายามจะเล่นเพลงที่ตั้งใจจะเล่นให้เธอฟังในตอนแรก แต่เขากลับเล่นมันไม่ได้... อารมณ์ของเขามันไม่ใช่แล้ว
นิ้วของเขาจึงเริ่มไล่ไปบนคอร์ดใหม่ๆ สร้างทำนองที่สะท้อนความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ออกมา... ทำนองของความคิดถึง ความสับสน และความอ้างว้างที่ต้องอยู่ห่างไกลจากใครคนหนึ่งที่สำคัญกับหัวใจ
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้กดวิดีโอคอล เขาเลือกที่จะกดปุ่มอัดคลิปเสียงในแอปพลิเคชัน LINE เขาอัด...แล้วก็ลบ... อัดใหม่...แล้วก็ลบอีกครั้ง... จนกระทั่งได้เวอร์ชันที่รู้สึกว่ามันจริงใจที่สุด
“ยัยตัวเล็ก... ขอโทษนะที่เมื่อกี้หัวเสียใส่” เขากรอกเสียงลงไป “วันนี้เน็ตไม่ดีเลยเนอะ แต่... ฉันมีอะไรจะให้ฟัง”
เขาเริ่มดีดกีตาร์ เป็นทำนองเพลงเศร้าๆ แต่แฝงไปด้วยความหวัง ก่อนจะร้องเพลงที่เขาเพิ่งด้นสดๆ ขึ้นมาท่อนหนึ่งด้วยเสียงทุ้มๆ ที่สั่นเครือเล็กน้อย
‘...ได้ยินไหม...เสียงหัวใจที่ส่งไป...ข้ามฟ้าที่แสนไกล...ไปถึงเธอรึเปล่า...หน้าจอที่กั้นเราไว้...มันบดบังทุกอย่าง...ยกเว้นความคิดถึง...ที่ฉันมีให้เธอ...’
เขากดส่งคลิปเสียงนั้นไปให้ปลายฟ้าโดยไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร แต่แค่ได้ส่งความรู้สึกของเขาไป มันก็ดีมากพอแล้ว
ไม่ถึงห้านาทีต่อมา โทรศัพท์ของเขาก็สั่นขึ้น มีคลิปเสียงถูกส่งกลับมา เขารีบกดฟังทันทีด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
มันเป็นเสียงของปลายฟ้า... เสียงที่ชัดเจนและไม่มีอะไรติดขัด...
“ได้ยินสิ... ได้ยินชัดเลย... เพลงเพราะมากเลยนะนายลม... ขอบคุณนะ... ที่เชียงใหม่ตอนนี้ฝนเพิ่งหยุดตกพอดีเลย พระจันทร์สวยมากๆ เลยนะ เหมือนท้องฟ้ากำลังปลอบใจเราอยู่เลย... อยากให้นายมาเห็นด้วยจัง”
สายลมหลับตาลง เขานึกภาพตามที่เธอเล่า... ภาพของดวงจันทร์หลังฝนตกที่เชียงใหม่ และภาพของปลายฟ้าที่กำลังยืนมองมันอยู่ด้วยรอยยิ้ม
แม้ตัวจะห่างไกล... แต่ในวินาทีนั้น เขากลับรู้สึกเหมือนได้ไปยืนอยู่ข้างๆ เธอ
คลื่นรบกวนของสัญญาณอินเทอร์เน็ตอาจจะสร้างระยะห่างทางกายภาพได้ แต่มันไม่สามารถรบกวนคลื่นความถี่ของหัวใจที่ยังคงจูนตรงกันเสมอได้เลย... และคืนนั้น ทั้งสองคนก็ได้เรียนรู้ว่า บางครั้งการสื่อสารที่ดีที่สุด อาจไม่ใช่การได้เห็นหน้า... แต่คือการได้ ‘รับฟัง’ ความรู้สึกของกันและกันอย่างแท้จริง