ความจำเสื่อม
เพล้ง
กรอบรูปบนโต๊ะทำงานของอคินตกลงบนพื้น ชายหนุ่มจึงหันมองไปตามเสียงและหยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นรูปของภรรยาสาว
“ตกมาได้ไง”
“นายหัวอคิน เกิดเรื่องแล้วครับ” เสียงคนงานคนหนึ่งดังขึ้น ตะโกนมาแต่ไกล
“เกิดอะไรวะไอ้มิง” เสียงดุดันเอ่ยถามลูกน้องอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะกำลังหัวเสียกับกรอบรูปที่แตกเมื่อสักครู่
“คือว่า...คุณแอนนี่ประสบอุบัติเหตุครับ”
“ฮะ!! มึงว่าไงนะ แอนนี่ประสบอุบัติเหตุ” ชายหนุ่มไม่รอคำยืนยันจากปากของนายมิง เขารีบคว้ากุญแจรถตรงไปยังโรงพยาบาลทันที
แพรวาและเกศรินทร์ ได้รับรายงานรีบตรงมาโรงพยาบาลเช่นกัน
“แพร!! ลูกเกดกลัวเหลือเกิน กลัวยายเกรซจะเป็นอะไรไป”
“อย่าเครียดเลยลูกเกด เชื่อฝีมือหมอนะ หนูเกรซกับหนูแอนนี่ต้องปลอดภัย”
“อืม”
อคินรีบวิ่งมาห้องฉุกเฉินที่มีมารดานั่งคอยกับมารดาของกรรวี
“หม่ามี้ครับ คุณหมอออกมายัง”
“คินลูก ใจเย็นนะ หมอยังไม่ออกมา” นายหญิงแพรวาลุกขึ้นยืนปลอบลูกให้ใจร่ม ๆ
กระทั่งเวลาผ่านไปไม่นาน แพทย์ก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน อคินไม่รอช้ารีบลุกขึ้นไปหาทันที
“หมอครับเป็นอย่างไรบ้าง”
“คนไข้ปลอดภัยดีครับ แต่ว่า...” อคินรู้สึกโล่งใจ แต่ต้องหยุดชะงักและหันไปมองแพทย์อีกครั้งเมื่อได้ยินคำต่อท้าย
“แต่ว่าอะไรหมอ พูดมา!!” อคินกระชากคอเสื้อแพทย์ด้วยอารมณ์โกรธ
“คินลูก ใจเย็น ๆ ปล่อยเสื้อคุณหมอเขาก่อน” นายหญิงแพรวาแกะแขนกำยำลูกชายออกจากคอเสื้อแพทย์
“คือคนไข้อีกคนปลอดภัยดีครับ แต่สาวฝรั่งที่ตั้งครรภ์ ทางเราไม่สามารถช่วยชีวิตได้ ต้องขอโทษด้วยนะครับ” แพทย์กล่าวจบก็เดินจากไป
อคินได้ยินคำยืนยันจากแพทย์อีกครั้ง ร่างกายก็อ่อนแรง ทรุดลงกับพื้น กำหมัดแน่น แววตาคุกรุ่นโกรธแทบอยากจะฉีกร่างคนที่ทำให้เมียสาวตนเองต้องถึงแก่กรรมเป็นชิ้น ๆ
“คิน…หนูแอนนี่ไปสบายแล้ว ลูกอย่าเสียใจเลย” แพรวาปลอบลูกชายตนเอง มือบางลูบลงบนไหล่แกร่ง
“ใคร!! ใครมันเป็นคนทำให้แอนนี่ต้องตาย”
“มันไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น ทุกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุ”
“อุบัติเหตุเหรอ หึ!!” ชายหนุ่มแค่นยิ้ม
ผ่านมาเกือบห้าวันร่างบอบบางบนเตียงคนไข้ ยังไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมา ทุกคนต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
“เกรซฟื้นขึ้นมาสักทีสิลูก!!” เกศรินทร์กุมมือบางลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“คุณแม่ครับไปพักผ่อนเถอะ ให้ผมเฝ้าน้องต่อ” ภูวดลเดินไปใกล้มารดา
“แม่เป็นห่วงน้อง”
“ยายเกรซไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ คุณแม่อย่าหักโหมจนล้มป่วยอีกคนล่ะ”
“ทำตามอย่างที่ดลพูดเถอะลูกเกด” ภูชิตพูดเสริมขึ้น
“แต่ลูกเกดอดห่วงลูกไม่ได้นี้ค่ะ”
กรรวีรู้สึกตัวดวงตากลมโตค่อย ๆ ลืมขึ้น หญิงสาวหันมองรอบกาย ก่อนจะเห็นทุกคนต่างพากันมุมตนเอง เธอจึงพยายามดันกายให้ลุกขึ้น
“เกรซ!!!” เกศรินทร์ประคองร่างอรชรลูกสาวลุกขึ้น ด้วยความดีใจ
“คุณแม่!!” กรรวีรู้สึกงุนงง มือบางเอื้อมมาจับศีรษะ เธอปวดหัวเหมือนสมองจะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง แต่พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เจ็บศีรษะไปหมด
“เป็นอย่างไรบ้างเกรซ”
“เกรซปวดหัวค่ะคุณแม่”
“งั้นก็พักผ่อนเถอะยายเกรซ” ภูวดลกล่าวกับกรรวี
“พี่ดล!!!” กรรวีมองหน้าพี่ชาย แววตาบ่งบอกถึงความสงสัย
“มีอะไรยายเกรซ ทำไมมองพี่อย่างนั้น”
“พี่ดลไม่ได้ไปเมืองนอกเหรอคะ เกรซจำได้ว่าพี่ดลไปเมืองนอกแล้วนะคะ แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” กรรวีทำหน้าสงสัยอย่างหนัก
ภูวดล เกศรินทร์ ภูชิต ต่างพามองหน้ากัน แปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“เกรซจำอะไรได้ไหมลูก” หัวหน้าครอบครัวอย่างภูชิตถามลูกสาว
กรรวีส่ายหน้าเบา ๆ เสียงหวานเปล่งออกไปทำทุกคนตกใจหนักขึ้นกว่าเดิม
“เกรซต้องไปสอบเข้ามหาลัย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” หญิงสาวหันมองรอบกาย พร้อมแขนตนเองที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง ทำท่าจะดึงออกแต่ถูกมารดาร้องห้าม
“เกรซ เกรซ ลูกฟังแม่นะ เกรซไม่ต้องไปสอบเข้ามหาลัยแล้วนะ ลูกเรียนจบแล้วนะคะ”
“หึ!!! ” กรรวีงงหนักขึ้นกว่าเดิมในสมองของหญิงสาวไม่มีความทรงจำเหล่านั้นเลย มีเพียงความทรงจำในช่วงวัยอายุสิบแปด
“เอาอย่างนี้ไว้พี่จะเล่าให้ฟังทีหลังนะครับ นอนก่อนเถอะ” ภูวดลประคองร่างน้องสาวให้นอนลง
“ดลไปตามหมอมาดูอาการน้องหน่อย”
“ครับคุณพ่อ”
ภูวดลเดินออกไปข้างนอกตามคำสั่งของบิดา หายไปประมาณราว ๆ ห้านาทีก็เดินกลับมาพร้อมแพทย์เข้ามาตรวจอาการของกรรวี
นายแพทย์ทำการตรวจร่างกายของกรรวีอย่างละเอียด เมื่อได้ข้อสรุปจึงแจ้งญาติผู้ป่วย
“จากอาการเบื้องต้นที่หมอทำการตรวจสุขภาพคนไข้ ภายนอกแข็งแรงดีนะครับ ส่วนสมองภายในได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง จึงเป็นเหตุทำให้คนไข้จำอะไรไม่ได้ในบางส่วน” นายแพทย์อธิบายอย่างละเอียด โดยออกมาพูดนอกห้องพักฟื้น เพราะไม่อยากให้กรรวีได้ยิน
“แล้วอย่างนี้น้องสาวของผมจะหายดีเมื่อไรครับ”
“ขึ้นอยู่กับทางครอบครัวของคนไข้ จะสามารถทำให้เธอจำได้เร็วแค่ไหน”
“พวกเราต้องทำอย่างไรคะ” เกศรินทร์เอ่ยถามอย่างร้อนรนใจ
“พยายามพาคนไข้ไปยังสถานที่คุ้นเคยหรือทำในสิ่งที่ชอบ หมอเชื่อว่าอีกไม่นานคนไข้จะค่อย ๆ จำได้ครับ”
“ครับ ขอบคุณหมอมาก” ภูชิตกล่าวกับแพทย์
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ” แพทย์เดินหายหลับไป เหลือเพียงคนทั้งสามยืนอยู่หน้าห้องพักฟื้นหญิงสาว
“เรื่องที่ยายเกรซประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เป็นเหตุให้หนูแอนนี่ต้องเสียชีวิต ขอให้ทุกคนเก็บเป็นความลับ”
“ทำไมครับคุณพ่อ” ภูวดลเอ่ยถามบิดาไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดาต้องการจะสื่อ
“เพราะพ่อไม่อยากให้น้องต้องโทษตัวเอง พวกเราก็รู้ว่ายายเกรซเป็นอย่างไร”
“แม่เห็นด้วยอย่างที่พ่อกล่าวนะ แม่ก็ไม่อยากให้น้องต้องเครียดและโทษตนเอง ส่วนเรื่องหนูแอนนี่ แม่กับพ่อจะชดใช้ให้คินเอง”
ภูวดลไม่ได้ตอบมารดา เขาเพียงพยักหน้ารับรู้เพียงเท่านั้น เพราะเขาพอจะเข้าใจในเหตุผลของบุพการีทั้งสอง
ร่างกำยำของอคินนั่งกระดกเหล้าอย่างคนเมามายไม่ได้สติ ผ่านมาหลายวันแล้ว นับตั้งแต่เสียภรรยาและลูกน้อยในครรภ์ ชายหนุ่มก็เอาแต่เก็บตัวเงียบและขังตนเองอยู่ในคฤหาสน์
“คิน ไปเยี่ยมหนูเกรซกับหม่ามี้ไหมลูก น้องฟื้นแล้วนะ”
“ไม่!!! ผมไม่มีทางไปเจอคนที่ทำให้แอนนี่ต้องตาย” อคินโกรธแค้นกรรวีอย่างมาก นับแต่นี้ไประหว่างเขากับเธอไม่มีทางญาติดี เขาสัญญากับตนเองผู้หญิงคนนั้นต้องชดใช้ให้แอนนี่อย่างแน่นอน
“คินอย่าโกรธหนูเกรซเลยนะ วันนั้นเป็นความผิดขอหม่ามี้เองแหละ”
“มันไม่ใช่เพราะหม่ามี้ครับ เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นต่างหาก” แววตาดุดันฉายความโกรธแค้นเมื่อเอ่ยถึงกรรวี
“แกเลิกกล่าวหาหนูเกรซได้แล้ว มันไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น มันเป็นอุบัติเหตุ” เสียงประมุขของบ้านดังขึ้นพร้อมเดินมาโอบไหล่ภรรยา
“ป๋าก็เข้าข้างยายเด็กคนนั้นตลอดนั่นแหละ!!!”
“ไอ้คิน!!!”
“พี่นนท์พอเถอะค่ะ อย่าทะเลาะกับลูกเลย” แพรวาห้ามปรามสามี
“ไปเถอะแพรเยี่ยมหนูเกรซกัน ถ้าไอ้ลูกไม่รักดีคนนี้จะไม่ไปก็ตามใจมัน!!!”
“คิน...งั้นหม่ามี้กับป๋าไปก่อนนะลูก”
“ครับ” อคินมองร่างบุพการีทั้งสองเดินลับหายจากไปไกล ความรู้สึกต่าง ๆ ก่อเกิดขึ้นในใจ ทั้งความโกรธ เกลียด แค้นคนที่ทำให้ภรรยาตนเองต้องตาย
“แล้วฉันจะทำให้เธอเหมือนตายทั้งเป็น กรรวี!!!” คำพูดแสนเย็นชาเปล่งออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูป ไม่มีอีกแล้วอคินคนดี ต่อไปนี้จะมีเพียงซาตานร้ายเท่านั้น
