ตอนที่ 2
เสียงประตูเปิดปิดเรียกให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียงคนป่วยหันไปมอง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“พ่อเป็นยังไงบ้าง พี่อธิป”
“เหมือนเคย”
อธิปตอบคำถามเจ้าของเสียงถามอ่อนๆ มีแววอ่อนเพลียที่เขาสัมผัสได้
ภัทราภาถอนใจ
อาทิตย์กว่ามาแล้วที่โอฬาร ธนทัต ไม่ยอมรับรู้เรื่องราวใดๆ แม้ในยามรู้สึกตัว
บุตรชายหญิงของเขาได้รับคำบอกเล่าจากหมอประจำตัว ว่าเขายังอยู่ในอาการช็อก และที่น่าเป็นห่วงโอฬารยังมีมีอาการของโรคหัวใจและความดันผิดปกติ
อาการช็อกนี้ คนไข้จะเป็นอยู่ระยะหนึ่ง เพราะร่างกายทนแบกรับปัญหาไม่ไหว มีทางออกอยู่วิธีเดียวเท่านั้น คือ จิตใต้สำนึกสั่งการไม่ให้ร่างกายรับรู้ปัญหาต่างๆ เหล่านั้น
เป็นเรื่องของจิตใจที่ละเอียดอ่อน ทางแพทย์จะเรียกว่า ฮิสเทอริคัล ไบลน์ เนส เป็นอาการเกี่ยวกับคนไข้ที่ต้องการหลบหลีกจากความรับผิดชอบ และปัญหาที่ตนเองเผชิญอยู่อย่างสิ้นเชิง
ความรู้สึกนี้จะเป็นไปแบบไม่รู้ตัว ไม่ใช่ว่าคนไข้แกล้งทำ
อาการไม่ได้มีเฉพาะไม่รู้ตัว หรือที่เรียกกันว่าความจำเสื่อม แต่อาจจะเป็นไปได้อีกหลายอย่าง เป็นต้นว่า หูไม่ได้ยิน ตามองไม่เห็น รวมทั้งอาการลืม และเป็นอัมพาต
“ที่บริษัทเป็นยังไงบ้างคะ”
ภัทราภาถามพี่ชายคนเดียวขึ้นอีก
อธิปหลบตาน้องสาว ลอบถอนใจ
“คงยากที่จะแก้คืน”
คำตอบที่ได้รับ ทำให้ใบหน้าเรียวคมเผือดซีดลงทันที
“หมายความว่าเราไม่มีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้เลยอย่างนั้นหรือคะ” ถามแทบจะเป็นกระซิบ
“ไม่มี”
อธิปมองหน้าน้องสาววัยอ่อนกว่าหลายปี ความรู้สึกของเขามีทั้งสงสารและเห็นใจ แต่ก็ต้องตอบตามตรง เพราะยังไงก็เป็นเรื่องที่ปิดไม่ได้อยู่แล้ว
“เงินก้อนสุดท้ายที่ภาให้ไป ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาบ้างเลยหรือคะ”
อธิปทำได้สั่นหน้า พูดไม่ออก
เขารู้ว่าน้องสาวได้เงินจำนวนนั้นมาด้วยวิธีใด จะว่าไปเขาเองที่คิดผิดกระทั่งตัดสินพลาด เขาน่าจะรู้ เงินแค่ล้านสองล้านไม่มีทางเลยที่จะช่วยกู้สถานการณ์ให้กลับคืนดีได้ ต่อให้มีเวลามากกว่าหนึ่งเดือนที่เหลือ ก็ไม่มีทางเลยว่าเขาแก้ไขปัญหาต่างๆ ลุล่วง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เงินล้านสองล้าน ไม่ได้มากมายอะไรเลยสำหรับเขา แต่ในสภาวะขณะนี้ อย่าว่าแต่เงินล้าน เงินแสนสำหรับเขาก็หาได้ยากเย็น
เขาไม่อยากโทษบิดา แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า หากไม่เพราะท่านดันทุรังเชื่อมั่นตัวเองจนเกินไป เหตุการณ์เลวร้ายนี้ก็คงไม่เกิดกับครอบครัว
เขาเคยทัดทานว่าการนำเงินไปลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ในช่วงเศรษฐกิจปั่นป่วนไปทั่วโลก มีความเสี่ยงสูง แต่บิดาของเขาก็ไม่ฟัง ผลก็เลยออกมาอย่างที่เป็นอยู่
เวลานี้ความเดือดร้อนกำลังแผ่เป็นวงกว้าง ไม่เพียงแต่เขาที่ต้องมาแบกรับภาระจนไหล่ลู่ น้องสาวคนเดียวของเขายังพลอยได้รับความเดือดร้อน และคงจะเดือดร้อนอย่างหนัก หากเขาไม่สามารถหาเงินจำนวนหนึ่งล้านสามแสน ให้หล่อนนำไปคืนก่อนที่ทางบริษัทจะมีการตรวจสอบบัญชี ในราวต้นเดือน
ในแวดวงธุรกิจ ไม่มีใครไม่รู้กิตติศัพท์ผู้บริหารกรฤทธิ์ ทรัสต์ และการลงทุน ว่าเป็นคนเช่นไร
จักรภัทรคงไม่ยอมให้ใครมาลูบคมเล่นง่ายๆ และคนที่จะตกหนักที่สุดก็เห็นจะเป็นน้องสาวของเขา
“พี่อธิปลองไปคุยไปทางจีอีแบงก์หรือยังคะ”
ภัทราภาพยายามช่วยคิดเพื่อหาทางออก
“ไปแล้ว เขาบอกว่าช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่มีหลักทรัพย์อะไรไปค้ำประกัน”
คำตอบของพี่ชาย ทำให้ภัทราภา นอนไม่หลับเกือบทั้งคืน มาหลับเอาเกือบเช้าวันใหม่
เมื่อตื่นขึ้นมา พบว่าเกือบจะแปดนาฬิกาก็รู้ตกใจ เวลาทำงานของหล่อนเริ่มแปดโมงครึ่ง จึงตาลีตาเหลือกวิ่งเข้าห้องน้ำ ทำกิจวัตรประจำวันอย่างรวดเร็ว
ภัทราภาถึงบริษัททันเวลาเข้างาน แต่ก็เรียกว่าเส้นยาแดงผ่าแปด
อารามรีบทำให้ลืมดูไปว่าช่องจอดรถที่ยังว่างที่ตัวเองนำรถเข้าจอด ก่อนวิ่งหัวซุนเข้าไปในอาคารบริษัท เป็นที่เฉพาะสำหรับผู้บริหารจอดเท่านั้น กระทั่งเซ็นชื่อแล้วนั่นแหละจึงนึกขึ้นได้
หล่อนเดินแกมวิ่งย้อนลงมาข้างล่างอีกรอบ ขณะจะเลี้ยวออกประตู ก็ชนโครมเข้ากับร่างสูงๆ ของใครคนหนึ่ง
หล่อนคงล้มคว่ำไม่เป็นท่า ถ้าหากเจ้าของร่างที่หล่อนชนเข้าเต็มเหนี่ยวนั้น จะไม่คว้าหล่อนไว้ทัน
จิตรภาเงยหน้ามองคนช่วยหล่อนไว้ไม่ให้อับอายขายหน้าด้วย เตรียมจะกล่าวขอบคุณ
แต่พอสบตาเข้มคมที่มองลงมาจากกรอบใบหน้าที่อยู่สูงกว่า หัวใจแทบหยุดเต้น คำขอบคุณหายลงคอ ปากเผยอค้าง ขณะดวงตาเบิกกว้าง ความรู้สึกตระหนกแผ่ออกครอบคลุมปลายประสาทรับรู้
