1 คู่แฝด (1)
“องครักษ์ผู้กล้าซึ่งเคยเยือนห้องลึกลับแห่งนั้นเพียงลำพังเล่าให้ข้าฟังว่า คืนแรมในรอบที่ดวงจันทราหายไปจากท้องนภาจะได้ยินเสียงแปลก ๆ คล้ายเสียงร้องของนกเหยี่ยว ซากสัตว์ถูกชำแหละร่างจนเละส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งถูกทิ้งไว้เกลื่อนห้อง
นอกจากนี้... ยังปรากฏเงาทะมึนใหญ่บนผนัง หากใครพบเห็นและสบตาด้วยแล้ว ว่ากันว่าจะถูกกระชากลมหายใจให้หลุดลอยออกจากร่างในทันที!”
เด็ก ๆ ที่ตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องเล่าขยับเบียดตัวเข้าหากันด้วยความกลัว ใครบางคนลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ขณะที่ซาเดน่าได้แต่หรี่ตาลงมองพี่ชายฝาแฝดที่ขยันสรรหาเรื่องเล่ามาหลอกเด็กได้ทุกวัน
“ในบางราตรีมืดคล้ำ มิเพียงเสียงร้องและภาพอันสยองขนเท่านั้น บางราตรียังได้เห็นดวงตานับสิบ ๆ คู่ซึ่งลอยอยู่เหนือศีรษะ นอกจากนี้ยังมีเหล่าองครักษ์อับโชคที่มีโอกาสได้ยลรูปโฉมของผู้เป็นเจ้าของห้องลึกลับนั้นด้วย...”
เสียงทุ้มต่ำกว่าอิสตรี หากเล็กแหลมกว่าบุรุษกลืนหายในลำคอ...
“พวกเขาเห็น... เห็นอันใดรึ... เจ้าคะ?”
คำถามจากน้ำเสียงตะกุกตะกักเป็นของเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งมักปลีกตัวมานั่งคุยกับซาเดน่าเป็นประจำ แต่เมื่อสบตากับคนเล่า เด็กหญิงตัวน้อยจึงขยับตัวถอยมาชิดกับเพื่อนสาวต่างวัยจนแทบเกยขึ้นไปบนตักนุ่มของซาเดน่า
“ก็...” ทุกคนลุ้นระทึกแทบลืมหายใจเมื่อคนเล่าเฉลย
“เห็นพ่อมดหน้าเละไงเล่า แฮ่!!!”
“กรี๊ดดดดดดดด!!!”
เสียงกรีดร้องของเด็กตัวน้อยดังลั่นในห้องจัตุรัสสีทรายเมื่อซาเดทำเสียงดังและแลบลิ้นหลอก จากนั้นวงสนทนาเล็ก ๆ จึงแตกเมื่อเด็กหญิง และเด็กชายพากันกระโจนหนีด้วยความกลัวระคนตกใจ กิริยานี้เองที่ทำให้คนเล่าอย่างยูนุกซาเดกอดอกหัวเราะชอบใจจนท้องคัดท้องแข็ง
“แค่นี้เอง มิเห็นต้องกลัวเลย”
“มิได้กลัว แค่ตกใจต่างหาก” เด็กคนหนึ่งที่กลัวจนหน้าเจื่อนสีและตกใจจนขวัญผวารีบแก้ต่างให้ตนเอง ซาเดน่าที่พลอยตกใจกับเสียงกรีดร้องของพวกเด็ก ๆ ไปด้วยส่ายหน้า ก่อนค้อนคมแกมตำหนิมาที่คู่แฝดซึ่งเป็นนักเล่านิทานตัวยงและเป็นขวัญใจของเด็ก ๆ ไม่เคยเปลี่ยน
“เจ้าเล่าเรื่องเหลวไหลอันใดรึซาเด เรื่องของเจ้าเกินความจริงยิ่งกว่านิทานบนผืนทรายซะอีก”
หากมีเสียงหัวเราะสักนิด พวกเด็ก ๆ คงคลายจากความกลัวที่ถูกอัดเข้าไปในหัวได้บ้าง ทว่าคนเล่ากลับทำหน้าขึงขังจนน่ากลัว
“นี่มิใช่นิทานบนผืนทรายนะซาเดน่า แต่เป็นเรื่องจริงสยองขนจากนครแสนสวยสีทรายที่เจ้ารู้จักต่างหาก” ยูนุกซาเดยืนยันหนักแน่น ก่อนคว้าจอกทองเหลืองมารินน้ำชาจิบดับกระหาย จากนั้นจึงเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งชันเข่าเอนกายพิงหมอนลายทางสีสดใส
“ข้ามิเห็นถึงความจริงแม้แต่น้อย” ซาเดน่าอดคัดค้านมิได้
“ทุกคนที่ได้ฟังเรื่องนี้ล้วนเอ่ยเช่นนั้น ทางที่ดีเจ้าควรประสบเรื่องนี้ด้วยตนเองนะซาเดน่า... “
ซาเดน่าย่นจมูกส่ายหน้าทันที “ข้าไร้โอกาสจะไปเหยียบนครเนราเซีย แต่ถ้ามี... ก็ไม่เอาด้วยหรอก”
ยูนุกซาเดหัวเราะหึหึ “นครแห่งนั้นยังมีอีกหลายเรื่องราวน่าพิศวงที่ยังเก็บงำเป็นความลับ และชาวเมืองอย่างเรามิเคยล่วงรู้ ข้าเองเคยประจักษ์ด้วยตนเองมาแล้ว ขนหัวนี้ลุกชันเชียว”
แม้ได้รับคำยืนยันจากพี่ชายฝาแฝด แต่ซาเดน่าก็ไม่เชื่อถือคำพูดนั้นอยู่ดี ก็ยูนุกซาเดน่ะชอบคุย และติดขี้โม้หน่อย ๆ
“เจ้าบอกว่ายังมีเรื่องที่เป็นความลับ เช่นนั้นเจ้าเป็นพาหะนำความลับของที่นั่นมาเปิดเผยแล้วล่ะ ตั้งแต่เล็กจนโตข้าก็เพิ่งได้ยินจากปากช่างเจรจาของเจ้านั่นล่ะว่านครแสนงามอย่างเนราเซียมีพ่อมด” เอ่ยออกมาเช่นนั้น ใช่ว่าซาเดน่าจะเชื่อถือเรื่องเหลวไหลเกินความเป็นจริงที่ซาเดเล่าให้ฟังหรอกนะ นางรู้ดีว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องแต่งเติมที่ซาเดชอบนำมาดัดแปลง และเล่าให้เด็ก ๆ ฟังเพื่อความสนุกตื่นเต้นมากกว่า
“ข้าเองรับใช้ราชสำนักมาสี่ปีกว่าก็เพิ่งเคยรู้เรื่องน่ากลัวนี้เช่นกัน นี่ยังเล่าไม่หมดนะ ยังมีเรื่องเล่าต่ออีก เจ้าอยากฟังไหมล่ะ?”
ซาเดน่ารีบโบกมือทันทีเมื่อเห็นว่าบรรดาเด็ก ๆ ทั้งสี่พากันไปยืนกอดไหล่ซ้อนตัวอยู่หลังแจกันใบงามพากันส่ายหน้า “พอเถิด เด็ก ๆ พวกนี้คงมิอยากฟังเรื่องของเจ้าแล้วล่ะ”
นักเล่านิทานตัวยงยกคิ้วเรียวขึ้นสูง ปรายตาไปยังเด็กตัวน้อยทั้งสี่ “พวกเจ้ายังอยากฟังข้าเล่าเรื่องพ่อมดต่ออีกไหม?”
เด็กน้อยทั้งสี่ส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียงราวนัดหมาย แล้วพากันวิ่งกรูออกไปนอกบ้าน นี่เองทำเอาผู้ที่มองตามหลังหัวเราะคิกคัก ชอบอกชอบใจ
“เฮ้ เด็ก ๆ ยังมีเรื่องตื่นเต้นมากกว่านี้อีกนะ ข้ายังมิได้เล่าเรื่องลึกลับในห้องเก็บกล่องดวงใจของยูนุกเลย”
ถึงจะตะโกนเรียก แต่ไม่มีเด็ก ๆ คนไหนยอมกลับมานั่งฟังอีกเลย ซาเดน่าจึงได้แต่กรอกตาไปมาเอามือนวดขมับตนเองเบา ๆ
