ตอนที่2.
เจ้าของเงานั้นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ใกล้จนเธอรับรู้ถึงความสูงและแข็งแกร่งจนเกินบรรยายของอีกฝ่าย
“คุณไม่สบายหรือ ต้องการให้ผมช่วยอะไรบ้าง”
คราวนี้เมธาวีจับปลายเสียงของเขาได้เลาๆ
“คุณเป็นใครคะ” หญิงสาวถาม ไม่รู้เลยว่าเสียงตัวเองนั้นแผ่วเบาเหมือนต้นอ้อ
ทั้งคู่เงียบไป เมื่อลมกรรโชกพัดปกเสื้อของเธอตลบขึ้น พร้อมกับฝนที่กระหน่ำจนต้นไม้รอบตัวเอนลู่
“ผมเป็นแขกมาพักที่ทัลลาวันทา สตั๊ด อยู่ในส่วนที่เป็นบ้านไร่”
ตอนนี้ เธอนึกถึงรถราคาแพงที่จอดเรียงราย มีเพียงแขกชั้นเอลิสต์ที่อยู่ในบ้านหลังใหญ่เท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ใช้มัน และแขกพิเศษสำหรับอาทิตย์นี้ คือชีคแห่งชาห์เจฮาร์ เขาเป็นเจ้าของฟาร์มม้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศของเขา ความร่ำรวยเป็นสิ่งที่สามารถอธิบายถึงสำเนียงของเขาได้ หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ แทบจะจับสำเนียงชาติเดิมของเขาไม่ได้เลยเพราะเขาได้รับการศึกษาชั้นดีจากโรงเรียนในอังกฤษ
“หรือคุณคิดว่าเราสองคนจะยืนอยู่ตรงนี้ จนกว่าเราจะเปียกปอนไปมากกว่านี้”
น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความเป็นคนที่ควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี เมธาวีสะดุ้ง พยายามที่จะตั้งสติ... เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ดูเหมือนเธอจะคิดอะไรไม่ออกเลย
สิ่งที่เธอรับรู้ตอนนี้ มีเพียงชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้สวมเสื้อกันฝน และเขาจะต้องเปียกปอนมากกว่าเธอ
“ฉันขอโทษค่ะ” เธอส่ายหน้าอย่างงงๆ “ฉันจำอะไรไม่ได้...”
“เกิดอุบัติเหตุกับคุณงั้นหรือ” น้ำเสียงของเขาดูสงบลงอีกครั้ง แต่มีความกร้าวอยู่ในที
“ไม่ค่ะ ไม่มีอุบัติเหตุ ฉัน... คุณช่วยพาฉันไปจากที่นี่ได้ไหมคะ”
ตอนนี้เมธาวีรู้สึกเบาใจขึ้น ในการขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า เขาเป็นผู้สูงศักดิ์ที่มาเป็นแขก เท่าที่เธอได้ยินมา พวกนั้นมีถนนส่วนตัวบนที่ดิน และไม่มีใครออกมาท่ามกลางอากาศแบบนี้ ยกเว้น เขาจะอยู่ตรงนี้อยู่แล้วซึ่งก็คงจะไม่มีพิษภัยอะไร
“ได้สิ” ชายหนุ่มก้มศีรษะ จากนั้นก็เขาพาเธอไปที่รถยนต์ของเขา
ชายหนุ่มก้าวเท้ายาวๆสบายๆ ทว่ามั่นคง ราวกับกำลังก้าวไปบนพรมตามโถงทางเดิน มากกว่าที่จะเป็นถนนที่เต็มไปด้วยกรวดโคลน เมธาวีเดินช้าๆประคองตัวตามเขาไป พยายามที่จะเดินให้ตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทว่าแขนขาของเธอช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย
ชายหนุ่มเปิดประตูรถ จากนั้นก็ก้าวถอยหลัง เพื่อให้เธอขึ้นไปนั่ง
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวพึมพำในลำคอ ขณะมือแข็งแรงของเขาแตะข้อศอกของเธอ เพื่อช่วยพยุงเข้าไปในรถ หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือนี้ เธอก็คงจะเข้าไปไม่ได้
เมธาวีทรุดตัวนั่งลงกับเบาะที่นั่ง เธอค่อยๆคลายมือที่กำแน่นออก จากนั้นก็ปล่อยสายรองเท้าส้นสูงที่หิ้วไว้ กับกระเป๋าที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง ทั้งสองสิ่งตกลงไปกองอยู่กับพื้น เธออาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังถือมันอยู่
ประตูรถปิดลง ร่างของเธอทรุดลงกว่าเดิม รู้สึกดีขึ้นกับความอุ่นที่อยู่ภายในรถ หลังจากที่ต้องเผชิญกับลมพัดแรงและฝนที่กรรโชกอย่างหนัก เสียงของมันยังคงก้องอยู่ในหูของเธอ
นี่คือ...สรวงสวรรค์
เมธาวีหลับตาลง ดื่มด่ำกับความสงบรอบข้าง
น้ำเสียงทุ้มลึก กระทบเข้ากับโสตประสาท “...ของเธอ”
หญิงสาวหันกลับไปทางน้ำเสียงนุ่มๆนั้น พยายามต่อสู้กับความอ่อนแอที่มีอยู่ในตัว เธอไม่อยากทำอะไรในเวลานี้เลย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยืนยันแบบนั้น
หญิงสาวลืมตาขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก เขาอยู่ตรงที่นั่งคนขับ เธอมองเข้าไปในดวงตาคมเข้มสีนิลสวยที่สุดที่เธอเคยเห็นมา เขามองเธอใกล้ๆอย่างสำรวจ ประเมินในทุกสิ่งที่เป็นตัวเธอ
เมธาวีเบิกตาโต เมื่อมองเห็นผู้ช่วยเหลือเธอ ภายในรถที่เปิดแสงไฟอ่อนๆไว้
ผมสีไม้มะเกลือของเขาหวีปัดไปไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าสีแทนที่เกือบจะเป็นทองบรอนซ์ ลมหายใจของเธอค้างเสียอย่างนั้น กับความแข็งแกร่งและความงามของอีกฝ่าย แต่ละลายเส้นบนใบหน้าชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อต้องน้ำฝน แก้มเกลี้ยงเกลา โหนกแก้มสูงรับกับคิ้วเข้มได้รูป ริมฝีปากสวยบาง เธอสามารถวาดภาพออกหากเขาจะยิ้มด้วยความพอใจ หรือบูดบึ้งเวลาที่โกรธ กรามที่บอกความทรงพลัง และกระดูกแข็งแกร่งที่บอกถึงความมั่นใจ สิ่งที่เห็นขโมยลมหายใจของเธอไปชั่วครู่ คล้ายกับใครบางคนได้เปิดหนังสือเก่าอันมีค่า และร่ายเวทย์ดึงเอาเจ้าชายนักรบผู้เก่งกล้าออกมาจากอาหรับราตรี แต่ไม่มีอะไรในตัวนักอ่านวัยใสอย่างเธอ ที่จะเหมาะกับชายผู้นี้ที่เป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดใจ เขาดูเป็นเจ้าชายอย่างแท้จริง
เมธาวีไม่เคยรู้จักผู้ชายคนไหนที่เป็นแบบนี้...
