บทย่อ
“เฮ้ย!!...” อนิกม์ร้องออกมาเมื่อของในกระเป๋าไม่ใช่ของเขาก่อนจะคว่ำกระเป๋าลง “เหมือนกันเลย” เสียงห้าวพึมพำเพราะกระเป๋าเดินทางใบขนาดกลางลายเลขาคนิตสีส้มเป็นแบรนด์เดียวกันไซร์เดียวกันก่อนจะพลิกกระเป๋าหงายขึ้น “ของผู้หญิงนี่นา” เสื้อผ้าหลุดจากที่ล็อคทำให้เขาต้องเก็บใส่ที่เดิม “แอบดูหน่อยไม่เป็นไรมั้ง” อนิกม์หยิบบราเซียสีขาวผ้าลูกไม้เนื้อนุ่มมาดู “แม่เจ้า คัพดี จุ๊ๆๆ เต็มมือเต็มไม้ดีจริง” ร่างสูงนั่งแหมะลงข้างกระเป๋าอย่างสนใจเหมือนคนโรคจิตและกลิ่นหอมอ่อนๆก็โชยมาจากกระเป๋าทำให้เขายกบราเซียมาดม “หอมว่ะ เฮ้ย” มือหนารีบปล่อยบราเซียสีขาวราวกับจับของร้อนก่อนจะปิดกระเป๋าแล้วพรุ่งนี้จะให้เลขาเอาไปคืนที่สนามบินเพื่อหาเจ้าของและเอากระเป๋าของเขาคืน “ว้ายย!!...นี่อะไรกันเนี่ย” พันไมล์ร้องเสียงหลงเมื่อเปิดกระเป๋าเดินทางเพื่อจะจัดของเข้าตู้ก็เจอกล่องคอนดอมวางเรียงกันห้ากล่องใหญ่ที่บอกขนาดไซส์ของผู้ใช้อีกด้วยทำให้เธอหน้าเห่อร้อนและมีกางเกงในเสื้อยืดกางเกงยีนส์เสื้อเจ็คเก็ตยัดอยู่ในกระเป๋าแทนที่จะเป็นเสื้อผ้าของเธอ “ยี้ ไอ้คนหื่น” พันไมล์ว่าเจ้าของกระเป๋าที่คอมดอมหลายกล่อง ก่อนจะปิดกระเป๋าเดินทางไว้เหมือนเดิมแล้วลากไปไว้หน้าห้องนอนของเธอและกลับเข้าห้องไปล้างมือในห้องน้ำสามสี่รอบจนคิดว่าสะอาด โชคดีทีเธอมาเสื้อผ้าทิ้งไว้ที่บ้านจึงมีใส่สำรองพรุ่งนี้เธอถึงจะเอาไปคืนที่สนามบินแล้วให้ทางสนามบินหากระเป๋าให้เธอก่อนจะมานั่งสงบอารมณ์ที่เตียง
บทที่ 1 เยี่ยมบ้าน
บ้านไม้กึ่งปูนสองชั้นหลังตั้งอยู่ตรงกลางพื้นที่หนึ่งไร่ รอบบ้านมีต้นไม้เล็กใหญ่ร่มรื่นอยู่ในอำเภอเมืองน่านอยู่ห่างจากวัดภูมินทร์ห้าร้อยเมตร ซึ่งเป็นวัดสำคัญและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดน่าน ที่นักท่องเที่ยวรู้จักตำนานรักของปู่ม่านย่าม่าน หรือเรียกกันว่าภาพ กระซิบรักบันลือโลก ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในวัดภูมินทร์ เป็นภาพของชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกระซิบสนทนาจึงทำให้มีชื่อเรียกขานว่า กระซิบรักบันลือโลก กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองน่าน
วลาลี สิริวงค์ หญิงวัยกลางคนนั่งมองสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายตั้งแต่เช้าคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเนิ่นนานกว่ายี่สิบหกปีแต่มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานหลังจากตั้งท้องเธอก็ย้ายไปอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อพี่สาว วิมาลา สิริวงค์ แต่งงานกับโจนัส สแตนเบิร์ก แฟนหนุ่มชาวสวิตฯ แล้วตั้งรกรากอยู่ที่สวิตฯ เธอก็ไม่ได้ติดต่อเพื่อนๆสักคนแม้แต่โชติกาที่สนิทกันที่สุด ป่านนี้ทุกคนจะเป็นยังไงกันบ้างทุกคนคงมีครอบครัวและความสุขกัน เธอตัดสินใจถูกแล้วที่ตัดขาดจากทุกคนถึงแม้จะทำให้ลูกสาวขาดพ่อแต่ลูกสาวของเธอก็มีชีวิตที่สมบูรณ์
“คิดอะไรอยู่คะแม่” เสียงหวานนุ่มไพเราะระรื่นหูถามมารดาที่นั่งมองสายฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เช้าเพราะพายุเข้าและเป็นฤดูฝนช่วงเดือนมิถุนายนฝนก็ตกชุกขึ้น ปกติครอบครัวของเธอจะมาปีละครั้งพร้อมกันเพื่อมาทำบุญครบรอบวันตายของตายายในวันที่สิบของช่วงนี้ทุกปีแต่ปีนี้มัมกับแด๊ดดี้และน้องชายไม่ได้มาเพราะย่าไม่สบายเธอจึงมาเป็นเพื่อนแม่
“ก็คิดไปเรื่อยเปื่อยจ้ะ ไมล์มีอะไรหรือเปล่าลูก” วลาลีถามลูกสาวที่เกิดจากเหตุการณ์ในคืนนั้นทันทีที่รู้ตัวว่าท้องเธอก็บอกพี่สาว วิมาลาก็ดีใจหายไม่ดุด่าว่ากล่าวเธอสักนิดและให้เธอไปอยู่ด้วยที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพราะกำลังจะเปิดร้านอาหารไทยที่เมืองซูริคแล้ว แอชลี่ย์ พันไมล์ สแตนเบิร์ก ลูกสาวบุญธรรมของโจนัสกับวิมาลา สแตนเบิร์ก ก็คลอดที่ซูริคได้สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์และวลาลีก็ได้สัญชาติสวิตฯตอนเธออายุสามสิบสองปี
แอชลี่ย์ พันไมล์ สแตนเบิร์ก สาวสวยร่างเล็กอ้อนแอ้นนัยน์ตาหวานกลมโตผมยาวสลวยสูงร้อยหกสิบห้าเซ็น อกดูมเอวบางคอดสะโพกผายรับกันอย่างเหมาะเจาะ เรียนจบปริญญาตรีจาก สถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิต ซูริค สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์และปริญญาโทจากสถาบันเดียวกันสาขาวิศวกรรมศาตร์ เธอมีน้องชายหนึ่งคนคือ แอชตัน แสนไมล์ สแตนเบิร์ก วัย 26ปี อ่อนกว่าเธอสองปี
“แม่อยากกลับมาอยู่เมืองไทยมั้ยคะ” พันไมล์กับแสนไมล์พูดภาษาไทยคล่องพอๆกับภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลี่ยน โรมานซ์และอังกฤษ เพราะชาวสวิตฯจะใช้สี่ภาษหลักนี้เป็นส่วนใหญ่ หญิงสาวเห็นแม่มีท่าทางเศร้าๆขนาดมีหนุ่มฝรั่งมาจีบแม่ก็ไม่เคยสนใจ เธอเป็นรู้ว่าตัวเองเป็นแค่ลูกบุญธรรมของป้ากับลุงเพราะพวกท่านไม่ปิดบังเธอ ครอบครัวของเธอมีฐานะปานกลางพอมีอันจะกินเพราะรายได้จากร้านอาหารไทยชื่อ Thai Restaurant ก็ดีมากพอสมควร ไหนเธอจะรับจ๊อบรับนักท่องเที่ยวล่องเรือชมทะเลสาปซูริคเพื่อหารายได้เสริมเพราะโจนัสมีเรือลำใหญ่จะจอดทิ้งไว้เฉยๆก็เสียดายเธอกับน้องชายก็เอาออกมารับนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก ที่มากินอาหารแล้วอยากชมบรรยากาศทะเลสาปซูริคยามเย็น และยังทำงานประจำที่บริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของสวิตฯในตำแหน่งสถาปนิกออกแบบบ้าน อาคาร ตามความต้องการของลูกค้า พันไมล์ทำงามมาตั้งแต่สมัยเรียนและฝึกงานกับบริษัท ยูนิเวอร์ซิตี้ ดีไซน์ แล้วทำงานต่อทันทีเมื่อเธอเรียนจบจนตอนนี้ก็เข้าปีที่สามแล้วมีรายได้ดีพอสมควร
“แม่ก็อยากมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองไทยนะลูก แต่ที่โน่นก็เหมือนกับบ้านอีกหลังของเรา หากแม่มาอยู่เมืองไทยจริงๆล่ะไมล์จะว่ายังไง” วลาลีถามลูกสาว
“ไมล์ก็มาอยู่กับแม่สิคะ ที่โน่นมีนายแสนคอยดูแด๊ดดี้กับมัมและร้านได้สบายอยู่แล้วค่ะ แต่มัมคงไม่ให้แม่มาอยู่คนเดียวแน่ค่ะ” พันไมล์รู้ว่าป้าเป็นห่วงแม่ของเธอไม่มีทางปล่อยให้อยู่คนเดียวแม้จะรู้วาแม่ของเธออยู่ได้ก็ตาม
“แม่แค่คิดเฉยๆ เอาไว้แม่จะคุยกับมัมของเราก่อน ไม่รู้ว่าจะให้กลับมาหรือเปล่า” วลาลีเคยเปรยกับพี่สาวว่าอยากกลับมาอยู่เมืองไทยพี่สาวก็เห็นด้วยเพราะอยู่ที่สวิตฯวลาลีมีเพื่อนน้อยมากและไม่มีความสุขแต่พอกลับมาเมืองไทยน้องสาวจะมีความสุขมากและคิดว่าน้องสาวคงเข้มแข็งพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกอย่างได้และเธอจะให้น้องสาวตัดสินใจเอง
“ไมล์มีเพื่อนที่รู้จักทำงานบริษัทใหญ่เขาก็ทาบทามไว้แต่ไมล์ยังไม่ได้ให้คำตอบ เพราะไม่รู้ว่าแม่จะมาอยู่เมืองไทยจริงหรือเปล่า” หญิงสาวมีเพื่อนรุ่นพี่ทำงานที่บริษัทก่อสร้างรายใหญ่ของเมืองไทยทาบทามเธอมาร่วมงานเพราะเห็นฝีมือของรุ่นน้องตอนฝึกงานที่บริษัทใหญ่ด้วยกันจึงอยากได้มาร่วมทีม
“ไมล์อยากมาอยู่เมืองไทยเหรอลูก” วลาลีถามลูกสาวปกติพันไมล์จะมาเมืองไทยปีละครั้งตั้งแต่เด็ก หลังจากที่ลูกสาวของเธอทำงานก็จะไปเที่ยวเมืองไทยสองครั้งต่อปีกับเพื่อนบ้าง
“ไมล์อยู่ที่ไหนก็ได้ค่ะที่มีแม่”
“อ้าว, ถ้าแม่มาอยู่น่านล่ะ ไมล์จะทำยังไง”
“นั่นสิคะ งานไมล์อยู่กรุงเทพจะทำยังไงดี งั้นแม่ก็อยู่กรุงเทพกับไมล์สิที่บ้านเราก็ทำร้านกาแฟได้นี่คะ” พันไมล์พูดถึงบ้านที่กรุงเทพ เมื่อยี่สิบปีก่อนยังไม่เจริญเท่าตอนนี้ และบ้านหลังเล็กในพื้นที่หนึ่งไร่ติดถนนกาญจนาภิเษกข้างๆก็เป็นหมู่บ้านหรูหลายแห่งมาสร้างมากมาย มีอพาร์ทเมนท์ บริษัท เต้นซ์รถ ห้างสรรพสินค้าผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด บ้านหลังนี้มี ขจร หลานชายของแม่พักอยู่และทำงานเป็นช่างซ่อมบำรุงที่บริษัทรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นใกล้บ้านจึงไม่ต้องห่วงอะไรและขจรก็ยังเป็นโสด
“นี่เราคุยกันเหมือนจะกลับมาอยู่กันจริงๆแล้วนะลูก” วลาลียิ้มขำที่เธอกับลูกสาวพูดคุยกันเป็นคุ้งเป็นแควก่อนจะหัวเราะ
“โธ่ แม่ขา ของอย่างนี้ต้องวางแผนสิคะ งั้นพรุ่งนี้เรากลับไปบ้านที่กรุงเทพดีมั้ยคะ จะได้ดูด้วยว่าจะทำอะไรได้บ้างแล้วไมล์จะได้คุยกับมัมและแด๊ด” พันไมล์บอกแม่ของเธอเพราะเห็นแม่พูดเรื่องมาอยู่เมืองไทยแล้วหน้าตาสดใสและเธอก็อยากให้แม่มีความสุข
“ได้สิลูก ไมล์.”
“ขาแม่..”
“หากวันหนึ่งหนูเจอพ่อจะทำยังไง” วลาลีถามลูกสาวเบาๆเธอรู้ว่าลูกสาวก็อยากรู้ว่าพ่อเป็นใครแต่ไม่ถามเธอเท่านั้นเอง
“ก็ไม่รู้สิคะ ไมล์มีแม่แค่คนเดียวก็พอแล้วค่ะ หากเจอกันจริงไมล์ก็อยากขอบคุณเขาที่ทำให้ไมล์เกิดมาเป็นลูกของแม่ก็เท่านั้นค่ะ แม่ไม่ต้องห่วงค่ะไมล์เข้าใจยังไงไมล์ก็มีแด๊ดดี้ มัม แม่และนายแสนก็พอแล้วค่ะ” พันไมล์กอดแม่อบย่างปลอบใจเธอคิดว่าแม่มีเหตุผลถึงได้เลือกแบบนี้และมัมก็บอกตลอดว่าแม่คิดถูกแล้ววันหนึ่งหากแม่พร้อมก็จะเล่าให้เธอฟังเองและวเธออาจจะเจอกับพ่อผู้ให้กำเนิด
“ขอบใจมากนะลูก วันหนึ่งแม่จะเล่าให้ฟังนะจ้ะ”
“ค่ะแม่ตอนนี้ไปกินข้าวกันเถอะค่ะ ยายกระถิน ให้ไมล์มาเรียกแม่ป่านนี้บ่นแล้วมั้งคะ” พันไมล์เพิ่งนึกได้ว่ายายกระถิน น้องสาวของยายที่บ้านอยู่ติดกันเรียกไปกินอาหารและครอบครัวของท่านก็ช่วยดูแลบ้านให้แล้วแม่ของเธอก็จะส่งเงินมาให้ทุกเดือนเพื่อตอบแทนน้ำใจทั้งที่ยายบอกไม่ต้องแต่ป้ากับแม่ก็ส่งมาให้ทุกเดือนไม่เคยขาด

