เจ้าทำได้อย่างไร
สองพี่น้องพูดคุยเรื่องเหลาอาหารต่ออย่างสนุกสนาน เรื่องที่หลิงเฮ่อสนใจเห็นจะเป็นเรื่องการคิดเงินค่าอาหารของเสี่ยวเอ้อ ที่สามารถคิดได้ทุกคน แล้วยังเร็วอีกด้วย
“ท่านพี่อยากรู้หรือไม่เจ้าคะ”
หลิงเฮ่องอนิ้วดีดไปที่หน้าผากของน้องสาว “เจ้าทำเช่นไร”
ซุนเหยาพาพี่ชายเข้าไปนั่งในห้องโถง แล้วเขียนสูตรคูณออกมาให้เขา พร้อมทั้งสอนให้เขาคิดคำนวณออกมา
หลิงเฮ่อเบิกตากว้างจ้องมองแผ่นกระดาษอย่างไม่อยากเชื่อสายตา นางเอาความคิดเช่นนี้มาจากที่ไหน ทั้งๆ ที่น้องสาวของตนอยู่แต่ภายในจวน เนื่องจากร่างกายที่อ่อนแอของนาง
เขาเงยหน้าขึ้นสำรวจน้องสาวอีกครั้ง “อาเหยาเจ้ามิเจ็บป่วยเช่นเดิมอีกแล้วหรือ” ใบหน้าของซุนเหยาแดงเรื่ออย่างคนที่สุขภาพดี ไม่เหลืองซีดเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
“เจ้าค่ะ ท่านพี่กลับจวนได้แล้ว ประเดี๋ยวท่านพ่อท่านแม่เป็นห่วง ท่านต้องรีบนำสูตรคำนวณที่ข้าเขียนไปให้ท่านพ่อดุอีกไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ซุนเหยารีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะกลัวพี่ชายจะสงสัยเรื่องที่นางอาจจะไม่ใช่ซุนเหยาคนเดิม
หลิงเฮ่อเมื่อถึงเรื่องคำนวณที่จะนำไปพูดคุยกับบิดา ก็ลุกขึ้นขอตัวกลับจวนตระกูลจ้าวไปทันที
ซุนเหยานางเหนื่อยล้ามาทั้งวัน แล้วยังไม่ได้กินอาหารเย็นอีก จึงเรียกให้เสี่ยวกุ้ยตั้งโต๊ะอาหารให้นาง
เสี่ยวกุ้ยเหลือบมองคุณหนูของตนอย่างหวาดๆ เพราะเรื่องที่ซุนเหยานางตบซูเซวียน เสี่ยวกุ้ยไม่เคยเห็นคุณหนูของนางมีโทสะถึงเพียงนี้มาก่อน
“เสี่ยวกุ้ย เจ้าก็ไปพักเถิด วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ให้บ่าวเตรียมน้ำให้ข้าพอ ข้าจัดการเองได้”
“เจ้าค่ะ คุณหนู แล้วต่อไปท่านจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
“ไม่ทำอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างที่ข้าอยากทำก็พอ”
เสี่ยวกุ้ยได้แต่ถอนหายใจออกมา ตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลซูความคิดของซุนเหยานางก็เปลี่ยนไปมาก ทั้งความเด็ดขาดที่กล้าหย่ากับท่านแม่ทัพ
สตรีทั่วเมืองหลวงคงไม่มีใครใจกล้าเท่าคุณหนูของนางอีกแล้ว
ซุนเหยาเมื่ออาบน้ำเสร็จนางก็ล้มตัวลงนอนทันที เพราะความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องเตรียมเครื่องปรุงตลอดทั้งวัน ไหนจะกลับไปเจอเรื่องหลอกลวงของซูเซวียนอีก
“เจ้าซูเซวียนสารเลว ข้าจะหาบุรุษที่ดีกว่าเจ้าร้อยเท่า แล้วจะพาไปเย้ยท่านให้ดู” ซุนเหยาสบถออกมาอย่างหัวเสีย เพียงไม่นานนางก็หลับสนิท
แต่นางไม่รู้เลยว่าคนที่นางกล่าวถึงแอบตามมาจากจวนตระกูลซูตั้งแต่ตอนที่นางมาถึงแล้ว และตอนนี้เขายืนอยู่ข้างหน้าต่างห้องของนาง สิ่งที่นางพูดเขาล้วนได้ยินทั้งหมด
“ดียิ่ง ออกจากจวนตระกูลซูมาได้เพียงวันเดียว เจ้าก็อาจหาญคิดหาสามีใหม่เสียแล้ว” ซูเซวียนกัดฟันแน่น อย่างมีโทสะ แล้วกลับจวนของตนไป
ตลอดทั้งคืนเขาข่มตาให้หลับไปลง เพราะนึกถึงคำพูดของซุนเหยาที่ตำหนิเขา แววตาที่โกรธแค้นของนางคอยก่อกวนจิตใจของเขาจนไม่อาจสงบลงได้
ผิดกลับซุนเหยาที่นางหลับสนิท โดยไร้ความหวาดระแวง เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาใบหน้าของนางก็เปล่งประกายความสุขออกมา
เสี่ยวกุ้ยที่เข้ามาเห็นคุณหนูของนางมีรอยยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุขก็โล่งใจ แม้จะรู้ว่าสตรีที่หย่าร้างจะใช้ชีวิตได้อย่างยากลำบาก นางก็พร้อมที่จะอยู่ดูแลซุนเหยาไปตลอด
แต่ก่อนที่ซุนเหยานางจะออกจากจวนไปที่เหลาอาหาร จ้าวกงหยวนก็มาพบนางเสียก่อน
“ท่านพ่อ มีเรื่องอันใดเจ้าคะ” เมื่อเห็นว่าบิดาเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ ซุนเหยาจึงได้เอ่ยถามออกมา
จ้าวกงหยวนนำกระดาษที่หลิงเฮ่อให้เขาเมื่อวาน นำมายื่นส่งให้ซุนเหยานางดู
“เจ้าทำได้อย่างไร”
“อ้อ ข้าก็นึกว่าเรื่องอันใด” ซุนเหยาจึงพาบิดาเข้าไปด้านใน พร้อมทั้งแสดงวิธีคิดคำนวณอย่างง่ายให้เขาดู แล้วยังลองทำอีกหลายรูปแบบ เพราะรู้ว่าการคำนวณมีผลต่องานของบิดาที่เป็นเสนาบดีกรมคลังอย่างมาก
เมื่อเจอคำถาม ทั้งสายตาที่สงสัยของบิดา ซุนเหยานางก็เม้มปากแน่นอย่างใช้ความคิด
“ลูกไม่รู้จะเล่าเรื่องที่ลูกรู้วิธีคำนวณมาได้อย่างไร ให้ท่านฟังเช่นไรเจ้าค่ะ”
“ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร พ่อพร้อมรับฟัง” สายตาของจ้าวกงหยวนทำให้ซุนเหยานางเชื่อมั่นในตัวครอบครัวของนาง
นางจึงเล่าเรื่องที่นางหมดสติไปในเกี้ยวของเจ้าสาว เหมือนตัวนางหลุดไปอีกโลก โลกที่มีแต่ความเจริญทั้งด้านการค้า ภาษา และวัฒนธรรม
บุรุษ สตรีล้วนแต่เท่าเทียม เรื่องหย่าร้างมีพบเห็นได้ทั่วไป ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก เมื่อสองคนใช้ชีวิตร่วมกันได้ ก็เพียงแต่แยกกันไปเริ่มชีวิตใหม่ การร่ำเรียนก็มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ปิดกั้นไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี
ตำราก็หาอ่านได้ง่าย เมื่อมีห้องสมุดกลางที่ผู้ใดจะสามารถเข้าไปใช้ก็ได้
“เมื่อลูกตื่นขึ้นอีกครั้งก็พบว่า เกี้ยวเจ้าสาวใกล้ถึงจวนตระกูลซูแล้วเจ้าค่ะ”
