4
“มีอะไรกัน”
เสียงถามดังแผ่วๆ ออกมาจากในห้องของมารดานั่นเอง และคนชั่วช้าก็ไวทายาด มันลุกออกจากตัวของเธอได้ทันก่อนที่มารดาจะมาเห็นได้ในเสี้ยววินาที
“แม่”
ปราณปริยาเรียกมารดาด้วยน้ำตาคลอเบ้า ปากสั่น เสียงสั่น อ้าปากกำลังจะฟ้องให้รู้ธาตุแท้ของสามีวัยเด็กที่อายุมากกว่าเธอไม่กี่ปี ก็พอดีกับที่นางปรียาไอแค่กๆ ถามบุตรสาวขึ้นก่อน
“เพิ่งกลับหรือลูก”
นางถามแล้วไอออกมาอีกครั้งจนหน้าดำหน้าแดง ปราณปริยามองมารดาด้วยสายตาเป็นกังวลแล้วลุกขึ้นปรี่เข้าไปหา เมื่อถูกตัวของนางปรียาแล้วก็ถึงกับหน้าซีด เพราะเมื่อวานยังเห็นว่าท่านสุขสบายดีอยู่ แต่เหตุใดวันนี้จึงดูแย่ถึงขนาดนี้ หรือท่านปิดบังอาการป่วยจนเธอมองไม่ออก
“แม่เป็นอะไร ทำไมตัวร้อนแบบนี้จ๊ะ”
“ไม่เป็นอะไรหรอกลูก”
ว่าจบนางปรียาล้มฟุบไปกองที่พื้นทันที คนเป็นลูกตกใจจนหน้าซีดเข้าไปเขย่ามารดา เรียกหน้าตาตื่นตกใจ
“แม่ แม่เป็นอะไรจ๊ะ”
ยุทธนายืนกอดอกมอง ไร้ซึ่งความสนใจในตัวคนแม่ ตระเตรียมเข้ามาคุกคามเธออีกครั้ง ปราณปริยาแหงะมองเห็นทันแล้วขยับตัวลุกหนีได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนนึกได้วิ่งออกไปที่ด้านนอกตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากหน้าบ้านเท่าใดนัก
ใจชื้นที่เห็นว่ายังมีคนนั่งกันอยู่ จึงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปหยุดยืนหอบตรงนั้น บอกกลุ่มคนเหล่านั้นเสียงสั่นเลยทีเดียว
“พี่คะ ช่วยพาแม่หนูไปส่งโรงพยาบาลทีค่ะ”
กลุ่มที่นั่งกินเหล้ากันอยู่มองหน้ากันอึดใจ แล้วชายคนหนึ่งก็ลุกขึ้นก่อน ค่อยพากันเอารถออกมารอ อีกสองคนตามเข้าไปในบ้านด้วยกันกับปราณปริยา
ยุทธนาที่นั่งรินเหล้าอยู่กลางบ้านสะดุ้งตกใจที่เห็นคนเข้ามาในบ้านของตนเอง ชี้นิ้วมาที่เธอ ตวาดด่า
“นี่มึงตามคนมารุมกูหรือไงอีนิ่ม”
“ทำไมต้องรุม” หนึ่งในนั้นถามอย่างงงงัน ปราณปริยาได้แต่เจ็บใจ บอกออกไปอย่างไม่ยอมความ
“เรื่องที่แกจะปล้ำฉัน ฉันฟ้องแม่แน่”
ชายที่ถูกตามตัวมาช่วยมองหน้ากัน แล้วส่งสายตาอาฆาตไปยังยุทธนา ปราณปริยาเลิกสนใจชายชั่วคนนั้น เร่งให้ช่วยมารดาของตนเองก่อน
“พาแม่หนูไปส่งโรงพยาบาลก่อนเถอะค่ะ ส่วนไอ้เลวนี่นิ่มจะบอกแม่ให้รู้ว่ามันชั่วขนาดไหน อย่าไปรุมมันให้เสียแรงเลยพี่”
ทั้งหมดพากันนำนางปรียาส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมาทันที ปราณปริยาน้ำตาคลอตลอดทางเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้น
“ขอบคุณมากนะคะที่พาแม่หนูมาส่งโรงพยาบาล”
“ไม่เป็นไรหรอกน้องนิ่ม มีอะไรก็เรียกพวกพี่ได้ตลอด เห็นหน้าโหดๆ ตั้งวงกินเหล้าแต่พี่ไม่ใช่โจรใจทรามเหมือนบางคนหรอกนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
ว่าพร้อมยกมือไหว้ชายเหล่านั้นด้วยความซาบซึ้งใจถึงที่สุด
ชายคนพูดเป็นพี่ชายของเพื่อนแถวบ้านที่แนะนำให้ว่าร้านซ้อเสียงกำลังรับคนเพิ่ม แม้หน้าตาคนพูดจะดูโหดอย่างที่อีกฝ่ายออกตัว แต่กลับมีน้ำใจกว่ายุทธนายิ่งนัก
นางปรียาถูกนำตัวไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็ก เมื่อไปถึงก็ถูกพาเข้าห้องฉุกเฉินทันที แพทย์แจ้งว่ามีไข้สูงและต้องให้อยู่นอนโรงพยาบาลในตอนนี้เลย หลังจากถูกพาตัวเข้าไปยังห้องพักผู้ป่วยแล้ว หนึ่งในชายที่ตั้งวงเหล้าตรงหน้าบ้านเอ่ยปากถามขึ้น
“แล้วนี่น้องจะอยู่เฝ้าแม่ไหม พรุ่งนี้มีเรียนหรือเปล่า”
“มีค่ะ” แล้วก็ถอนใจอย่างคิดไม่ตก เพราะพรุ่งนี้มีสอบย่อยเสียด้วย
“งั้นก็กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวพวกพี่เฝ้าให้ พรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วค่อยมาดูแม่”
พอเอ่ยปากว่า ‘บ้าน’ ก็ให้หวาดกลัว ยิ่งตอนนี้มารดานอนป่วยอยู่ ยิ่งไม่กล้ากลับเข้าไปที่นั่นอีกแล้ว ตะกุกตะกักอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“คือ นิ่ม…นิ่ม”
“ไม่กล้ากลับบ้านใช่ไหม”
ชายคนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้นอย่างพอรู้ ก่อนชวนไปที่บ้านของตนเองด้วยใจบริสุทธิ์
“ไปเถอะ กลับไปเอาข้าวของ หนังสือหนังหา แล้วเดี๋ยวถ้ายังไงแล้วพี่พาไปอยู่ที่บ้านยายพี่ก่อน”
ปราณปริยาชั่งใจ แต่แล้วก็ใช้ความรู้สึกของตนเองในการนำทาง มองชายเหล่านั้นที่หน้าตาแม้จะดุดัน บางคนหนวดเครารกรุงรังแต่สายตาที่มองเธอเปี่ยมไปด้วยเมตตา และหากว่าเธอต้องเจอคนไม่ดีอีกก็ปล่อยให้ชะตาพาเธอไปก็แล้วกัน เมื่อไม่มีมารดาคอยชี้นำเธอแล้วในตอนนี้
“ขอบคุณพวกพี่มากนะคะ”
เสียงใครในนั้นเอ่ยขัดขึ้น “เปลี่ยนจากขอบคุณมาเป็นแฟนพี่ได้ไหมครับ”
“ทะลึ่งแล้วมึงนี่”
ปราณปริยายิ้มมองดูชายหน้าโหดแต่ใจดีหยอกล้อกัน พร้อมกับหาทางช่วยเหลือเธอไปด้วย จึงออกจากโรงพยาบาลกลับไปยังบ้านของยุทธนาเพื่อเก็บข้าวของของตนเองไปพักที่อื่นชั่วคราวก่อน ในช่วงที่มารดาต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล และบ้านของคนที่เอ่ยปากชวนเธอนั้นก็อยู่ถัดไปอีกไม่กี่ซอย หญิงสาวไม่ได้นอนเนื่องจากจวนเจียนเช้าเต็มที จึงจัดแจงเปลี่ยนชุดแล้วออกไปยังมหาวิทยาลัย เพื่อทำการสอบแล้วตัดสินใจไม่เข้าเรียนวิชาช่วงบ่าย เพื่อแวะไปดูอาการของมารดา
มาถึงที่ห้องพักผู้ป่วยในช่วงบ่าย เห็นว่ามารดาลืมตาตื่นแล้ว ท่านนั่งเอนหลังพิงกับหัวเตียงอยู่ ค่อยโล่งใจ เข้าถามไถ่ด้วยสีหน้าสบายใจมากยิ่งขึ้น
“หมอว่ายังไงบ้างจ๊ะแม่”
“แค่ไข้หวัดใหญ่น่ะนิ่ม หมอว่านอนพักอีกวันก็ให้กลับบ้านได้”
‘กลับบ้าน’
พอมารดาเอ่ยถึง ‘บ้าน’ ขึ้นมา ก็ให้อึดอัดใจ ไม่รู้ว่ามารดาจะคิดเห็นหรือไม่ที่ยุทธนาล่วงเกินเธอ เลยลองเอ่ยปากกับท่านดู
“แม่ นิ่มว่าเราออกไปเช่าบ้านอยู่กันไหม ไปแค่เราสองคนนะแม่”
นางปรียามองบุตรสาวนิ่งอึดใจค่อยถามกลับ “ทำไมล่ะลูก”
“คือ คือนิ่มกลัวว่า...” เธอกำลังจะเอ่ยปากเล่าเรื่องสามีของท่าน แต่แล้วนางก็ขัดขึ้นก่อนด้วยสีหน้าเศร้าสลด
“อยู่กันไปก่อนเถอะลูก ตอนนี้แม่ไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาทเดียว”
“แต่นิ่มมีนะแม่ มีพอที่เราจะไปเช่าบ้านอยู่กัน นิ่มทำงานแล้ว มีเงินพอเลี้ยงแม่นะ”
นางปรียาบอกเสียงซึมๆ
“นิ่ม พวกเราทนอยู่แบบนี้กันไปก่อนนะลูกนะ”
ปราณปรียามองหน้ามารดาแล้วชั่งใจว่าควรพูดดีหรือไม่ว่ายุทธนาคุกคามเธอ แล้วหากพูดออกไปมารดาจะเชื่อคำของเธอหรือไม่ แต่แล้วก็ไม่กล้าพูด ได้แต่เงียบ ตั้งใจว่าจะอยู่เฝ้ามารดาแต่ท่านถามขึ้นก่อน
“วันนี้ไม่ไปทำงานหรือลูก”
“นิ่มอยากอยู่เฝ้าแม่จ้ะ”
“ไปเถอะ แม่ดีขึ้นแล้ว เราเพิ่งทำงานไม่กี่วันจะหยุดแบบนี้ไม่ได้ เขาจะว่าเอาได้ว่าเราหยิบโหย่ง”
“แต่ว่าแม่ยังไม่หายดีเลยนะ”
“แม่อยู่ใกล้หมอแบบนี้แล้ว หายห่วงแล้วล่ะ ไปเถอะนิ่ม ไปทำงาน”
อยู่คุยกับมารดาอีกพักใหญ่ก็ให้อิดออดไม่อยากไปทำงาน แต่มารดาดุว่าเธอจะทำตัวเป็นเด็กๆ ไม่ได้ จึงยอมตัดใจในที่สุด ไม่กล้าลางานด้วยเพราะเพิ่งไม่กี่วันเท่านั้นที่ได้เป็นพนักงานในร้าน ขณะเดินออกจากลิฟต์ที่พาลงมาจากชั้นที่มารดานอนพักรักษาตัวก็ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ อยู่ในหัวจนไม่ทันเห็นว่ามีคนมองเธออยู่ตลอดเวลา
“นิ่ม”
เสียงเรียกชื่อที่ดังมาจากด้านหลังก็ทำให้หญิงสาวชะงักความคิด หยุดเดินแล้วหันไปมองก็พบว่าเป็นไทธัญนั่นเอง
“มาทำอะไรครับ”
“แม่ไม่สบายค่ะ”
“อ้อ” ชายหนุ่มรับคำเบาๆ เมื่อไปตามเฝ้าหญิงสาวที่คณะแล้วแต่ไม่พบ เลยถามเอากับสุริวิภา ขานั้นไม่ค่อยอยากจะบอก แล้วยังแสดงท่าทีหึงหวงเขาอีกด้วย ทั้งๆ ที่นอนคุยกันแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นเรื่องของความพอใจและผลประโยชน์ เขาจ่ายไปไม่น้อยให้สุริวิภาเพื่อสอบถามเรื่องราวของปราณปริยา
สุริวิภาบอกว่ามารดาของปราณปริยาไม่สบายนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ห้องไหน ชั้นอะไร ไทธัญจึงตามมาเฝ้าแล้วก็หวังอยู่ไม่น้อยว่าจะได้เจอ
ไม่ผิดหวังจริงๆ ที่เฝ้ารออยู่อย่างใจเย็นจนเจอกับหญิงสาว
“พี่ไปส่งนะ” บอกด้วยท่าทีกระตือรือร้น
“ค่ะ” เธอยิ้มรับแล้วตอบตกลงในน้ำใจของอีกฝ่ายแต่โดยดี ขณะที่หนุ่มสาวพากันเดินไปยังรถ ก็มีอีกสายตาคู่หนึ่งมองตามจนลับแล้วจึงกลับไปที่รถของตนเอง พร้อมรายงานให้ผู้เป็นนายของตนทราบข้อมูลเช่นเดียวกัน
นั่งรถกันมาเงียบๆ ครู่หนึ่ง ไทธัญเอ่ยขึ้น
“นิ่มเลิกงานแล้ว พี่มารอรับกลับนะครับ”
เธอยิ้มให้ ชายรุ่นพี่ไม่ว่าอะไรแล้วไปยังหลังร้านเพื่อเตรียมตัวเข้างานในลำดับต่อมา วันนี้คนค่อนข้างเยอะเนื่องจากเป็นวันศุกร์สิ้นเดือน ที่เหล่าบรรดาขาเที่ยวที่เป็นมนุษย์เงินเดือนกว่าครึ่งกระเป๋าหนาพอจะจับจ่ายในการเที่ยวหาความสุขยามราตรีกาลเช่นนี้
ขณะเดินกลับไปด้านหลังร้านก็ให้ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนเอง
“นิ่ม”
พร้อมกับมีมือมาแตะลงตรงบ่า เสียงเรียกนั่นเป็นของสุริวิภาเอง พอเห็นว่าเป็นเพื่อนก็ยิ้มรับ ไม่ทันเอ่ยปากถามสาวสวยกว่าเอ่ยขึ้นก่อน
“แวะมากับพวกพี่ๆ น่ะ พี่ต้าก็มาด้วยนะ”
ปราณปริยาทำเพียงยิ้มไม่ว่าอะไร สุริวิภารีบว่าต่อ
“พี่ต้านั่งอยู่โต๊ะตรงนู้นแน่ะ ภาเห็นตอนเดินไปห้องน้ำเลยแวะทักแก” สุริวิภาว่าจบเบียดไหล่ตนเองกับไหล่ของเธอบอกยิ้มๆ “สงสัยรู้ว่านิ่มทำงานที่นี่หรือเปล่า แกเลยมา”
ปราณปริยายิ้มไม่ว่าอะไรดุจเดิมเพราะสุริวิภามักล้อเลียนเธอเสมอ เวลาที่เธอสนิทกับต่างเพศ
อย่างพี่ต้านี่เป็นรุ่นพี่ต่างคณะกับเธออีกคน ชายหนุ่มเป็นประธานชมรมแบดมินตันที่เธอสมัครเข้าร่วมตอนปีหนึ่ง แถมยังได้เรียนวิชาภาษาต่างประเทศที่เป็นวิชาเลือกเสรีด้วยกันอีก คุยกันแล้วก็ดูเหมือนจะสนิทสนมกัน แต่แท้ที่จริงทั้งคู่ไม่ได้คิดอะไรกันมากกว่านั้น จึงเดินเข้าไปทักทายเสียหน่อยเมื่อชายรุ่นพี่มองมาที่เธอพอดี
