ep19
สโรชา ใช่! เขาไม่อยากให้สโรชารู้ความนัยนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะขอเวลาอยู่กับตัวเองสักระยะหนึ่งกับสโรชาแล้ว แต่ก็ไม่ได้บอกเหตุผลเธอ ดูเหมือนว่าจะใจร้ายเกินไปหากจะบอกกับเธอว่า เขากำลังตามหาผู้หญิงในอดีตที่เขาเชื่อว่าเขารักเธอ และเขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมานั้น เขาเคยรู้สึกกับสโรชาบ้างหรือเปล่า
หรือบางที เขาอาจจะไม่ได้รักเธอ เพียงแค่เขาไม่มีใคร จึงหยิบฉวยเธอมาไว้ในหัวใจเท่านั้นเอง
“นายยังรักบัวอยู่หรือเปล่า?”
จู่ ๆ ตะวันก็ถามขึ้น พลชะงักแล้วปรับตัวเป็นปกติ
“ไปทานข้าวกันดีกว่า นายคงจะหิวแล้ว”
พลตัดบทแล้วเดินนำหน้าออกจากห้องไปทำให้ตะวันต้องลุกตาม ยิ้มนิด ๆ เพื่อนคงยังไม่ลืมรักแรก แปลกที่เขาพร้อมจะลืม
สายน้ำโขงไหลรินเอื่อย ร้านอาหารเรือนแพเกาะติดกันหลายหลัง ทัวร์นักท่องเที่ยวไทยส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ปรายตาดูก็จะรู้ว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เป็นคนมีเงินกำลังอวดบารมีกับคนพื้นถิ่น
“อย่างนี้แหละ นิสัยคนไทย” พลยกแก้วเหล้าดื่ม แม้ตะวันตรงหัว
“ก็คงไม่ใช่ทั้งหมด”
“ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ยังมีอยู่ ความที่เราถูกตำราเรียนฝังหัวมาไงว่าไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร ทำให้เรานึกหยิ่งผยอง มองประเทศเพื่อนบ้านด้อยกว่าตนเอง”
“นั่นสินะ ตอนเราเรียนอยู่ เรายังเรียกเพื่อนจากอีสานว่าไอ้ลาวทำนองดูถูกอยู่เลย”
“อืม แล้วตกลงไอ้ลาวมันไปอยู่ที่ไหนล่ะ?”
พลถามถึงเพื่อนเก่าแก่แม้เริ่มแรกจะเรียกกันในทำนองดูถูก แต่เมื่ออยู่ร่วมกันนานวันเข้า การเรียกเช่นนั้นก็บอกตัวตนเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีความรู้สึกดูถูกหลงเหลืออยู่เพราะความสามารถของ ‘ไอ้ลาว’ นั้นไม่ด้อยกว่าใคร และที่สำคัญ น้ำใจของไอ้ลาวนั้นทำให้เพื่อนผู้ดีมีเงินถึงกับร้องไห้มาแล้ว
“มันไปอยู่บ้านมันนั่นแหละขึ้นเป็นผู้พันไปแล้ว ไปเร็วยิ่งกว่าฉัน”
“คงออกชายแดนบ่อย”
“เปล่า... มันอยู่ชายแดนเลยต่างหาก ขอไปอยู่เองเสียด้วย สบายๆ ไม่อยากอยู่ ชอบไปอยู่ลำบาก”
“แล้วมันมีลูกเมียหรือยัง?”
“ไม่มี หรือมีไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้”
ตะวันตอบแล้วหัวเราะ ไอ้ลาวของเพื่อน ๆ เป็นคนฉลาดทันคน แต่มักไม่ค่อยแสดงปฏิกิริยาอะไรออกมาจนกว่าจะถึงคราวที่ต้องใช้ ทำให้เขาไม่เป็นจุดเด่นของรุ่น แต่การทำงานเข้าตานายมากกว่าคนอื่น ๆ เลยกลายเป็นที่จดจำของรุ่น หลังจากจบออกมา
“นายเสียใจไหมพลที่ถูกไล่ออกจากที่นั่น”
เมื่อนึกถึงความหลัง ตะวันก็อยากจะรู้ความรู้สึกของเพื่อน ณ วันนั้น
“เสียใจสิ แต่คนอย่างฉันเดินหน้าไม่มีถอยอยู่แล้ว”
พลตอบแบบไม่มีร่องรอยของความเสียใจเหลืออยู่ เพียงแต่ยอมรับ ณ วันนั้นเขาเสียใจ
“นายหายไปจนบัวเขาติดต่อนายไม่ได้”
ตะวันย้อมความหลัง พลเพ่งตามองเพื่อนเหมือนเหยี่ยวที่จ้องตะครุบเหยื่อ เป็นอาการที่เขามักจะทำอย่างนี้ในบ่อนเวลาที่ต้องเล่นเกมอยู่เสมอ
“บัวเขาเลือกนาย ไม่ใช่ฉัน”
“ใช่... เพราะเขาติดต่อนายไม่ได้”
“นายจะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา ทุกวันนี้บัวเขาก็รักนายมากไม่ใช่เหรอ? นายพูดอย่างนี้เหมือนกับว่านายกำลังจะทิ้งบัวแล้วยกให้ฉัน บัวเป็นคนไม่ใช่สิ่งของ”
พลพูดเสียงเข้มข่มอารมณ์โกรธไว้ภายในแต่ตะวันยิ้ม
“นายยังรักบัวอยู่”
พลถอนใจนึกอยากจะซัดกำปั้นใส่หน้าเจ้าคนที่ยิ้มเหลือเกิน แต่พยายามระงับใจหันออกไปทางแม่น้ำโขงที่ไหลเอื่อย เวลาก็เหมือนสายน้ำ ไหลไปไม่ย้อนกลับคืน
“ตะวัน นายไม่ควรพูดอย่างนี้ ฉันจะรักหรือไม่รักบัว มันไม่ใช่เรื่องของนาย ผู้หญิงคนนั้นสำคัญกับนายมากกว่าบัวจนต้องถางทางเพื่อให้ฉันกลับไปหาบัวหรือ นายดูถูกผู้หญิงมากเกินไปแล้ว”
พลตอบเสียงต่ำ บอกถึงพื้นอารมณ์ที่เริ่มโกรธ
“ใจเย็นพล นายฟังฉันก่อน”
“ว่ามา”
“อาหมอสะกดจิตฉันเพื่อให้ฉันย้อนกลับไปในอดีต และคอยปลุกฉันเมื่อถึงเวลาอันควร เพราะเกรงว่าฉันจะไม่กลับมา เพราะระยะหลัง ๆ ฉันเริ่มติดอยู่ในบ่วงของอดีตจนไม่อยากกลับมาเลย ฉันพยายามที่จะสะกดจิตตัวเอง แต่ยังทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ แต่วันหนึ่งที่ฉันทำได้ บางทีฉันอาจจะไม่กลับมา”
พลนิ่งมองเพื่อน เรื่องนี้ร้ายแรงกว่าที่เขาคิด เพื่อนเขาติดบ่วงของอดีต อดีตที่เป็นเพียงมโนภาพที่ทำให้มองเห็นเท่านั้น หากตะวันหลับลึก ไม่ตื่น นั่นคือเขาละจากโลกนี้ไปแล้ว และโลกในอดีตนั้นก็ไม่ใช่ตัวของตะวันเลย
“นายจะทิ้งปัจจุบัน”
“ฉันไม่รู้ แต่ฉันเหมือนกับว่าฉันอยากอยู่กับเขา ไม่อยากตื่นขึ้นมาและทางหนึ่งที่ฉันคิดว่าพอมีทางที่ฉันจะอยู่กับปัจจุบันได้คือตามหาเขา ผู้หญิงคนที่ฉันให้นายตามหานั่นไง”
