10 ปาร์ตี้ทิพย์
วันต่อมา ปุณณภพไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลย เขาเดินเข้ามาหามธุสรที่กำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของเธอ
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณน้ำหวาน” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
มธุสรเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเขา
“มีอะไรหรือเปล่าคะ คุณปุณณภพ” เธอเอ่ยถามตามมารยาท ก่อนจะก้มหน้าลงเพื่ออ่านเอกสารในแฟ้มต่อไป
“ผมมาทวงสัญญาครับ” ปุณณภพตอบ เธอนิ่งไปจนเขาต้องเอ่ยขึ้นมา
“จำได้ไหมครับ..ว่าเมื่อวานเราตกลงอะไรกันไว้”
มธุสรยังคงนิ่ง แต่ก็พยายามครุ่นคิด เธอนึกถึงข้อตกลงที่เธอจำใจต้องยอมรับข้อเสนอของปุณณภพเมื่อวานนี้ เธอรู้ดีว่าถ้าพ่อของเธอรู้เรื่องนี้ขึ้นมา เธอจะต้องโดนดุอย่างหนักและห้ามขับรถอีกเป็นแน่ กว่าที่พ่อจะยอมให้เธอขับรถไปไหนมาไหนเองได้ตามลำพังก็แสนจะยากเย็น และยิ่งถ้าปุณณภพไปบอกพ่อเธอแบบนั้น เธอต้องถูกสั่งห้ามอีกแน่ ๆ
“ฉันจำได้ค่ะ” เธอตอบเสียงเรียบ เมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า
“ดีมากครับ” ปุณณภพยิ้มกว้าง
“งั้นเย็นนี้เจอกันนะครับ ผมจะไปรับคุณที่บ้านตอนหนึ่งทุ่มตรง”
“อย่า!!! ฉันไม่ไว้ใจให้คุณไปที่บ้านของฉัน” มธุสรตอบเสียงแข็ง
“แล้วถ้างั้นจะให้ผมไปรับคุณที่ไหน” ปุณณภพถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“ที่คอนโดเพื่อนฉันดีกว่า” มธุสรตอบกลับทันควัน ให้เค้าไปรับที่บ้านแล้วเธอจะบอกพ่อว่ายังไง หญิงสาวนึกในใจช่างพูดไม่คิดเอาเสียเลย
“แล้วผมจะรู้จักคอนโดเพื่อนของคุณได้ยังไง” ปุณณภพเลิกคิ้วถาม
“คุณอยากให้ฉันไป นั่นมันเป็นเรื่องของคุณนี่คะ” เธอตอบก่อนจะก้มหน้าลงทำงานต่อ
สิ้นเสียงหวานชายหนุ่มก็แอบหอมแก้มเธออย่างถือวิสาสะ มธุสรหันมาทำตาโตใส่เขา ซีอีโอหนุ่มจ้องใบหน้าสวยที่กำลังโกรธด้วยความพออกพอใจ เขารู้สึกสนุกกับการได้เห็นมธุสรยอมจำนนต่อเขา แต่ในขณะเดียวกัน ปุณณภพก็รู้สึกถึงความปรารถนาที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจของเขา ความปรารถนาที่จะเอาชนะใจเธอให้ได้
มธุสรเม้มริมฝีปากแน่น เธอรู้ว่าเธอไม่มีทางเลือก
“ที่ฉันยอมไปทานมื้อค่ำ ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมให้คุณมาฉวยโอกาสแบบนี้นะ” เธอเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดุดัน ปุณณภพยิ้มกว้าง
“โอ๊ะ ๆ..อย่าเพิ่งโกรธสิครับ..คนสวย! แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง คิดซะว่าเป็นค่ามัดจำ หรือค่าเสียหายที่คุณต้องชดใช้ให้ผมก็แล้วกัน”
“ชดใช้อะไรไม่ทราบ” มธุสรขมวดคิ้วถาม
“เอ๊าาา!!!..ก็ผมเกือบตายเพราะคุณเชียวนะ... แค่หอมแก้มน่ะ..มันยังน้อยไปเลยด้วยซ้ำ!” ปุณณภพตอบกลับด้วยน้ำเสียงทะเล้น
“นี่คิดจะแบลคเมลกันเหรอ” มธุสรเอ่ยถามเสียงแข็ง
“ผมไม่ชวนทะเลาะดีกว่า เจอกันเย็นนี้นะครับ เอ่อ!!!...เกือบลืมเลย ผมขอเบอร์และก็ไลน์เพื่อเอาไว้ติดต่อกับคุณด้วยสิ” เขายื่นสมาร์ตโฟนให้เธอ หญิงสาวยอมรับมาแล้วกดเบอร์ของตัวเองเสร็จก็ยื่นให้เขา ปุณณภพรีบโทรออกทันที จนได้ยินมือถือของเธอดังขึ้น เขาจึงยอมเดินจากไป
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ เธอต้องไม่ปล่อยให้เรื่องนี้มารบกวนจิตใจของเธออย่างเด็ดขาด เธอต้องทำงานให้สำเร็จเพื่อพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเธอไม่ได้อ่อนแออย่างที่เขาคิด
“เลิกงานแล้วเหรอคะ..คุณมธุสร” เสียงทักทายจากพนักงานในบริษัทดังขึ้นขณะที่มธุสรกำลังรีบเก็บของบนโต๊ะทำงาน
“ค่ะ ฉันพอดีมีนัดกับเพื่อน” มธุสรตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แววตาแฝงไปด้วยความกังวล เธอรีบเก็บของใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว ไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
“คุณภพสั่งเอาไว้ว่า ถ้าคุณไม่สะดวกไปเองให้รอเขาที่นี่ค่ะ” พนักงานรีบบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปเองได้” มธุสรปฏิเสธทันที เธอไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอจะไปไหน และไม่อยากให้ปุณณภพมารับที่บริษัท หรือแม้กระทั่งออกไปพร้อมกันก็ตาม
มธุสรเดินออกมาจากบริษัทด้วยความเร่งรีบ เธอรีบขึ้นรถและขับออกไปทันที เธอขับรถไปที่คอนโดของปานรุ้งด้วยความเร็ว เธอรู้สึกกระวนกระวายใจและหวาดกลัว เธอกังวลว่านายมิกซ์แฟนหนุ่มที่กำลังระหองระแหงกันจะตามมาวุ่นวายกับเธออีก ระหว่างทางเธอก็รีบโทรหาผู้เป็นบิดา
“คุณพ่อคะ วันนี้หนูมีนัดปาร์ตี้กับยัยรุ้งนะคะ อาจจะกลับดึกหน่อย” มธุสรโทรบอกบิดาขณะที่กำลังขับรถไปด้วย
“ปาร์ตี้เหรอ... ดึกมั้ยลูก” ผู้เป็นพ่อถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ก็คงสักเที่ยงคืนค่ะ แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะหนูดูแลตัวเองได้ นะคะ ๆ คุณพ่อ!” มธุสรรีบตอบด้วยเสียงที่ออดอ้อนเหมือนประจบผู้เป็นบิดา
“ดึกๆ มันอันตราย หนูจะขับรถกลับคนเดียวได้เหรอลูก” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
“เดี๋ยวหนูให้รุ้งแวะไปส่งที่บ้านก็ได้ค่ะ เพราะหนูจะจอดรถไว้ที่คอนโดเพื่อน” เธอรีบบอกเจตจำนง
“เป็นผู้หญิงไปไหนมาไหนกลางค่ำกลางคืนมันอันตราย เพื่อนหนูก็เป็นผู้หญิงนะ เกิดอะไรขึ้นมาใครจะช่วย” ผู้เป็นพ่อยังคงเป็นห่วงลูกสาว
“แต่คุณพ่อขา หนูโตแล้วนะคะ ดูแลตัวเองได้ คุณพ่อเชื่อเถอะ ถ้าหนูไม่ไหวจริง ๆ หนูก็ไม่ขับรถกลับหรอกค่ะ” เสียงถอดหายใจของผู้เป็นบิดาดังลอดเข้ามา ก่อนจะบอกกับบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง
“ขับรถดีๆ นะลูก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยกำชับ
“แล้วก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยล่ะ ถ้าขับรถกลับไม่ไหวก็โทรมาบอกพ่อนะ” พ่อของเธอบอกด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะคุณพ่อ” มธุสรตอบกลับ เธอรู้สึกผิดที่ต้องโกหกพ่อของเธอ แต่เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
“ขอบคุณนะคะ”
รถหรูสีขาวมุกเงางามแล่นไปบนเส้นทางด้วยความเร็ว เบาะหนังสีครีมอ่อนนุ่มสบายตัว กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเครื่องหนังและน้ำหอมราคาแพงลอยอบอวลไปทั่วห้องโดยสาร แผงคอนโซลหน้าปัดดิจิทัลแสดงข้อมูลการขับขี่ต่างๆ อย่างครบครัน พวงมาลัยหนังแท้สีครีมถูกประดับด้วยโลโก้แบรนด์หรูหรา เธอเอื้อมมือไปกดรับโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อกับระบบบลูทูธของรถ โดยที่สายตาไม่ละไปจากถนนเบื้องหน้า
“ฮัลโหล” มธุสรพูดเสียงเรียบเย็นชา
“น้ำหวาน เธออยู่ไหน พี่โทรหาตั้งหลายสาย ทำไมไม่รับ” เสียงของนายมิกซ์ดังลอดมาตามสาย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและหงุดหงิด
“เมื่อกี้น้ำหวานคุยกับพ่ออยู่” มธุสรตอบกลับเสียงแข็ง เธอเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว รถหรูพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“แล้วทำไมไม่โทรกลับ” นายมิกซ์ถามเสียงเข้ม
“ขับรถค่ะ” มธุสรตอบกลับทันที เธอรู้สึกรำคาญและไม่อยากคุยกับเขา
“อย่ามาทำแบบนี้กับพี่นะ ถามคำตอบคำ” นายมิกซ์พูดเสียงดัง
“เราเลิกกันเถอะค่ะ มันจะได้จบ ๆ ” มธุสรพูดเสียงสั่น เธอพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา แต่ความโกรธและความเหนื่อยหน่ายเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
“ไม่มีวัน พี่ไม่มีวันเลิกกับเธอ” นายมิกซ์พูดเสียงเด็ดขาด
“แล้วน้ำหวานกำลังจะไปไหน พี่จะไปรับ”
“ไม่ต้อง! ฉันไปเองได้” มธุสรพูดเสียงดัง ก่อนจะกดวางสายทันที เธอรู้สึกโกรธและเหนื่อยหน่ายกับนายมิกซ์ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยเธอไป
มธุสรเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว รถหรูพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เธออยากจะไปให้ถึงคอนโดของปานรุ้งให้เร็วที่สุด เธอหวังว่าเธอจะปลอดภัยที่นั่น
