สปอยเนื้อหา Ep.2
เสียงดัง ‘เปรี้ยง!’ แหวกอากาศขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ไม่เพียงแต่ทำเอาชายหนุ่มร่างสูงสะดุ้ง ม้าสีน้ำตาลแผงคอดำของเขาพลอยตกใจ ยกขาหน้าขึ้นแหวกว่ายกลางอากาศ ก่อนสงบลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับการปลอบจากคนขี่
ชายหนุ่มนิ่วหน้า เขาแน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินไม่น่าจะเป็นเสียงอย่างอื่นไปได้ นอกจากเสียงปืน ดังขึ้นเพียงนัดเดียวแล้วก็เงียบ เขาเกือบจะเพิกเฉย เมื่อคิดว่าอาจจะเป็นคนงานในไร่ของเขายิงนกยิงหนู ถ้าเพียงแต่เขาจะไม่หวนนึกไปถึงเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับว่าที่เจ้าสาวของเขา แล้วเสียง ‘เปรี้ยง!’ ที่ได้ยินก็ไม่เชิงว่าดังอยู่ไกล แม้จะไม่ใกล้จุดที่เขาชักม้าให้หยุดเพื่อมองไปรอบๆ ตั้งใจจะให้คนงานมาถากถางให้หายรกเมื่องานส่วนอื่นๆ ค่อยซาลง
ยังไงก็ตาม เขาค่อนข้างเชื่อหูตัวเอง เสียงที่ได้ยินน่าจะดังมาจากช่วงหนึ่งของเส้นทางที่คนที่ไร่อาศัยเป็นทางลัดตัดออกถนนใหญ่ซึ่งมุ่งเข้าเมือง ย่นระยะทางได้หลายกิโล เมื่อเทียบกับไปตามถนนตัดผ่านด้านหน้าตัวบ้านไร่
ก่อนจะทันคิดว่าเขาควรกลับเข้าบ้านได้แล้ว เจ้าเชโรกี ม้าเพศผู้สายพันธุ์ดีตัวใหญ่ สูงเกือบสิบแปดแฮนด์ ก็ถูกกระตุ้นให้ทะยานออกไปยังทิศทางที่แน่ใจว่าเป็นที่มาของเสียงปืนที่ได้ยินราวธนูพุ่งจากแหล่ง
ชายหนุ่มคิดว่า ถ้าเชโรกีมีความคิดความรู้สึกจากสมองเท่าคน มันก็คงพิศวงเช่นเดียวกับเขา นับแต่เห็นรถยนต์สีน้ำเงินคันเล็กกะทัดรัดจอดสงบนิ่ง
เขาเกือบจะคิดว่าเป็นรถของน้องสะใภ้ เพราะสีเดียวกัน รูปทรงดูเผินๆ ใกล้เคียงกันมาก กระทั่งเข้าไปใกล้จึงพบว่าเป็นคนละยี่ห้อ แม้รูปทรงมองไกลๆ จะคล้ายกันมาก และยังสีเดียวกันอีก
แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจทำอะไรก็มีเสียงเครื่องยนต์แว่วๆ มาตามถนน มุ่งหน้ามาจากทางเดียวกับรถที่จอดอยู่
เพียงอึดใจ รถฟอร์ดสามประตู สีน้ำเงิน ก็แล่นเข้ามาจอดต่อท้ายรถโอเปิลที่จอดขวางทางอยู่
ผู้ที่ก้าวลงมาจากตอนหน้าด้านคนขับเป็นหญิงสาวร่างงามระหง
“มีอะไรหรือคะ พี่วิน?”
“ยังไม่รู้เหมือนกัน” เขาตอบก่อนลงจากหลังม้า เดินเข้าที่รถโอเปิ้ล
ศิรดาได้ยินเสียงสบถจากชายหนุ่ม ก่อนเขาจะสอดมือผ่านกระจกที่เจ้าของรถคงจะเปิดรับลมแทนเปิดแอร์เอาไว้ครึ่งๆ ฝั่งคนขับ เพื่อคลายปุ่มล็อก จากนั้นก็ค่อยๆ ดึงประตูเปิด
ศิรดาเดินตามเข้าไป พอเห็นภาพคนในรถทิ้งตัวพิงเบาะลักษณะหมดสติในสภาพเลือดชุ่มโชกก็ลืมตัวอุทานเสียงดัง
“อุ๊ย! ตายแล้ว!”
วินภวัตหันมองน้องสะใภ้แวบหนึ่ง
“ยังไม่ตาย” เขาพูดเสียงขรึม เนิบช้า ขัดกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่โลดรัวตั้งแต่เห็นหญิงสาวที่พิงเบาะคอเอียงไปทางซ้ายนิดหนึ่ง เต็มตา
แม้ดวงตาทั้งคู่ของหล่อนจะปิดสนิท แต่เขาก็มั่นใจว่าหล่อนคือผู้หญิงคนเดียวกับที่เขาพบในโรงอุปรากรที่นิวยอร์ก ที่เขาเก็บประทับไว้ในความทรงจำ และเมื่อคืนที่ผ่านมายังบอกตัวเองอยู่เลยว่า เลิกคิดถึงหล่อนได้แล้ว เพราะถึงอย่างไรก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกชาตินี้ แต่จู่ๆ หล่อนก็มาปรากฏตรงหน้าเขา ในสภาพที่ทำเอาเขาแทบจะนึกหรือทำอะไรไม่ถูก
ว่าแต่หล่อนมาทำอะไรแถวนี้ ก็หล่อนอยู่ไกลถึงนิวยอร์กไม่ใช่หรือ?
ท่ามกลางความตื่นตระหนกระคนสงสัย เขาเกือบจะคิดว่านี่คือปาฏิหาริย์หนึ่งพันล้านครั้งที่เกิดขึ้นทุกวันทั่วโลก... ‘อะ ทาวน์แซนด์ มิลเลียน มิราเคิลส์ อาร์ แฮปเพนนิ่ง อะเวอรี่ เดย์!’
“ผู้หญิงคนนี้ออกจะคุ้นๆ หน้าอยู่นะคะ”
เสียงไม่แน่ใจฟังสั่นๆ อยู่เพราะภาพที่เห็นชวนตกใจไม่น้อยของน้องสะใภ้ ทำให้เขาได้สติ รีบผละไปผูกม้าไว้กับกิ่งไม้แถวนั้น เรียบร้อยจึงกลับมาที่รถโอเปิล พูดกับน้องสะใภ้ด้วยเสียงเกือบจะฟังเป็นออกคำสั่ง
“ศิขับรถนะ พี่จะพยุงคนเจ็บ”
เขาไม่ให้โอกาสซักถาม รีบอุ้มคนเจ็บไปวางเบาะหลังรถฟอร์ดในท่านอนตะแคง ดึงหมออิงทรงกลมบนคอนโซลหลังมารองรับศีรษะปกคลุมด้วยผมสีน้ำตาลปนแดง เห็นว่ามั่นคงดีแล้วก็ไปเลื่อนรถโอเปิลพอให้รถฟอร์ดคันเล็กของน้องสะใภ้ผ่านไปได้ ไม่ลืมหมุนกระจกขึ้นทั้งสองข้าง ล็อกประตูเรียบร้อยแล้วก็ย้อนกลับมายังรถที่มีคนเจ็บนอนอยู่ ดึงหมอนที่วางรองศีรษะหญิงสาวออกแล้วเลื่อนตัวเองเข้าไปนั่งแทนที่ จากนั้นก็ค่อยๆ ยกร่างหมดสติให้พิงตัวเขาอย่างระมัดระวังไม่ให้กระเทือนแผลจนเลือดที่เวลานี้แค่ซึมๆ ไหลโชกออกมาอีก
“ไปได้แล้ว” เขาบอกน้องสะใภ้ที่เข้าประจำที่คนขับ
ศิรดาทำตาม เคลื่อนรถออกช้าๆ ขับไปได้สักพักก็นึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มไม่ได้บอกจุดหมายปลายทางจึงถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ
“ไปโรงบาลใช่ไหมคะ”
“ไม่! ไปบ้านเราใกล้กว่า โรงบาลไกลไป ทางลัดที่จะไปได้เร็วก็ไม่ค่อยดี กว่าจะถึงก็คงสะบักสะบอม ดีไม่ดีแรงกระแทกกระเทือนอาจทำให้เสียเลือดมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ค่อยหยุดไหลแล้ว เหลือแค่ซึมๆ ก็ได้แต่หวังว่าเจ้ากริชจะรีบมา”
‘เจ้ากริช’ หรือ นายแพทย์ คมกริช เตชะรักษ์ เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขากับน้องชาย รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมกระทั่งจบมัธยมปลาย เขากับวัทธานนท์ น้องชายคู่แฝด เลือกที่จะเรียนด้านการบริหาร และการจัดการ ควบคู่ไปกับการหาประสบการณ์ในการทำฟาร์ม และไร่ ในเท็กซัส ขณะคมกริชสอบเข้าเรียนแพทย์ที่มหิดล ก่อนจะไปต่อโทที่จอห์นฮอปกิ้น เวลานี้เป็นศัลยแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่ในจังหวัดบ้านเกิด
ขณะมุ่งหน้ากลับบ้าน ศิรดาคอยมองกระจกหลังเป็นระยะ
หล่อนสังเกตเห็นความกระวนกระวาย เข้าขั้นหวั่นวิตกบนหน้าคมสันของชายหนุ่ม แม้เจ้าตัวจะพยายามเก็บอาการไว้ภายใต้สีหน้าขรึมเฉย ท่าทีประคับประคองคนเจ็บก็บ่งบอกถึงความทะนุถนอม และระมัดระวังยิ่งนัก ทุกครั้งที่รถตกหลุมแม้เพียงหลุมเล็กๆ พอให้รู้สึก สีหน้าเขาก็เหมือนจะปวดเจ็บแทนหญิงสาวที่เขาโอบไว้ในวงแขน ทำให้หล่อนสะท้อนใจ
ความเศร้า ระคนขมขื่นผลิพุ่งขึ้นในอกใจ มือขาวผ่องกำพวงมาลัยแน่นขึ้นจนเกร็งไปทั้งข้อมือ ดวงตาคมงามฉายประกายวะวับก่อนจะค่อยๆ โรยแสง และคืนสู่ปกติ หลังจากพยายามสูดลมหายใจเข้ายาวลึกติดกันหลายครั้ง มือเกร็งกำพวงมาลัยคลายออกเหลือเพียงกำไว้หลวมๆ ในท่ามั่นคง
“ยังทานยาอยู่ใช่ไหม”
เสียงห้าวมีกังวานทุ้มไม่คาดคั้น แต่ก็ต้องการคำตอบมาจากเบาะหลัง ราวกับว่าเขาสังเกตท่าทีหล่อนอยู่เงียบๆ ศิรดามองผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่ง แต่ก็ทันสบเข้ากับนัยน์ตาเข้มคมฉายแววอาทร ทำให้อกใจหล่อนตื้นขึ้น
“ค่ะ” หล่อนตอบสั้นๆ ท่าทางบอกว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้
วินภวัตนิ่วหน้า ทำท่าจะพูด แต่ตัดสินใจไม่พูด แม้จะกังวลอยู่บ้าง
เขารู้ว่านับแต่สูญเสียสามีไป น้องสะใภ้ของเขาก็ไม่เคยกลับไปเป็นศิรดาคนเดิมอีกเลย
ทันทีที่รับรู้ว่าสามีได้จากไปแล้วหล่อนก็ถึงกับเกิดอาการคุ้มคลั่ง จนหมอต้องให้ยาระงับประสาท หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าต่อมาอีกหลายปี หลายครั้งที่พยายามทำร้ายตัวเอง และคนใกล้ชิดเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ ในที่สุดต้องส่งตัวไปไว้ที่โรงพยาบาลเพื่อหมอจะได้ดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษ กระทั่งเห็นว่าการรักษาได้ผล และคนไข้อาการดีขึ้นมาก รู้จักระงับอารมณ์ตัวเองได้แล้วนั่นแหละจึงให้กลับบ้านได้
อย่างไรก็ตาม แม้จะหายจากอาการป่วยเนื่องจากสภาพจิตใจได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถลบภาพยามคลุ้มคลั่งออกไปจากความทรงจำของลูกสาวตัวน้อยได้หมดจด
เด็กหญิงยังมีท่าทางหวาดๆ มารดาในบางครั้ง เขาต้องคอยพูดให้เด็กหญิงเข้าใจมารดา ให้เชื่อมั่นว่ามารดาหายขาดจากโรคร้ายนั้นแล้ว เด็กหญิงรักคุณลุง เชื่อฟังคุณลุงทุกอย่าง แต่เกี่ยวกับอาการป่วยไข้ทางใจของมารดานี้ ดูจะยังกล้าๆ กลัวๆ เขาก็ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยาให้บาดแผลทางใจหายสนิททั้งแม่และลูก
