สปอยเนื้อหา Ep.3
“อาการเป็นไงบ้าง?”
วินภวัตถามเพื่อนทันทีที่อีกฝ่ายหิ้วล่วมยาออกมาจากห้องพักแขกข้างล่างที่เขายกให้เป็นห้องพักคนเจ็บ
“ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน อาการอักเสบของบาดแผลลดลง แต่ที่ยังไม่ได้สติคงเพราะเสียเลือดมากทั้งจากถูกยิง แล้วยังต้องมาถูกผ่าตัดเอาหัวกระสุนฝังในออกอีก คงต้องให้เวลาร่างกายพักฟื้นนิดหนึ่ง ว่าแต่ใครรึ ฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยรู้จักมาก่อน”
“จะจำได้ไงในเมื่อนายไม่เคยเจอ”
“นั่นสิ แล้วจะบอกได้หรือยังว่าว่าคนไข้ของนายรายนี้เป็นใคร มาจากไหน ถามนายเมื่อวานตอนถูกเรียกตัวมานายก็บอกให้ดูแลคนเจ็บก่อน หลังจากผ่าตัดเสร็จฉันก็เพลียจนไม่อยากเปิดปาก”
“ที่บอกนายอย่างนั้นก็เพราะฉันเองก็ไม่รู้”
“อะไรนะ? นี่นายจะบอกว่านายไม่รู้จักหล่อนอย่างนั้นหรือ? เฮ๊ย! บ้าหรือเปล่า? นายน่าจะรู้นะว่าไม่ควรเที่ยวเก็บคนถูกยิงมาไว้ที่บ้านแบบนี้ ถ้าอยากจะช่วยเหลือก็ควรส่งตัวไปที่โรงพยาบาล แล้วก็ควรไปแจ้งความเอาไว้ด้วย อย่างน้อยก็ป้องกันเอาไว้ก่อนเผื่อจะมีเรื่องยุ่งตามมา”
“เลิกโวยวายเสียทีเถอะน่า” วินภวัตปราม “ที่ฉันไม่เอาตัวส่งโรงบาลก็เพราะเห็นว่าระยะทางมันไกล ไม่จำเป็นก็ไม่อยากให้คนเจ็บได้รับความกระแทกกระเทือนจากการเดินทางเป็นชั่วโมง ดีไม่ดีที่ยังมีลมหายใจอาจจะตายไปเลยก็ได้ และที่ไม่แจ้งความ ก็เพราะรอถามคนเจ็บดูก่อน บางทีเจ้าตัวอาจไม่อยากขึ้นโรงขึ้นศาลหรือแม้แต่โรงพัก นึกถึงตัวเราเองสิวะ ไปต่างบ้านต่างเมืองอยากยุ่งกับตำรวจนักรึ เว้นเสียแต่จำเป็น แล้วกรณีนี้ หากใช้วิจารณญาณของตัวฉันเอง คิดว่าน่าจะเป็นอุบัติเหตุมากกว่า”
“ถูกยิงเนี่ยนะ อุบัติเหตุ?”
“ถ้าคำว่าอุบัติเหตุจะหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดหรือคาดฝันว่าจะเกิด ผู้หญิงคนนี้เป็นคนแปลกหน้า ฉันไม่คิดว่าจะมีศัตรูอยู่แถวนี้ จึงเป็นไปได้มากว่าโดนลูกหลงมากกว่า คนยิงคงไม่ตั้งใจ อาจจะกำลังเล็กนกหนูแล้วรถแล่นผ่านมาในรัศมีพอดียั้งมือไม่ทันแล้วก็มีทางเป็นไปได้ว่าคนยิงอาจเป็นคนงานในไร่ฉันนี้เอง หรือไม่ก็จากไร่ข้างเคียงเพราะตอนเกิดเหตุก็เป็นช่วงเวลาเลิกงานกันแล้ว”
“แล้วมีใครสักคนมาแสดงตัวไหมล่ะว่าเป็นเจ้าของกระสุนที่เกือบคร่าชีวิตคนๆ หนึ่งเพราะความประมาท?” ถามเสียงแดกดัน
“เป็นนายจะกล้าแสดงตัวไหมล่ะ? ฉันหมายถึงว่าหากนายเป็นคนงานที่เรากำลังพูดถึง ไม่ใช่นายที่อยู่ในฐานะอย่างตอนนี้”
นายแพทย์หนุ่มไหวไหล่ ตอบอย่างจำนน
“เออ ยอมรับ ถ้าฉันเป็นคนงานหรือชาวบ้านทั่วๆ ไปก็คงไม่กล้าแสดงตัว ได้แต่เก็บเรื่องเงียบเอาไว้ ก็นับว่าหล่อนยังโชคดีที่นายอยู่ไม่ไกลพอจะได้ยินเสียงปืนแล้วก็ไม่เพิกเฉย อุตส่าห์ไปดูใครยิงอะไร”
“คลารา เคท เกรย์เมอร์”
“อะไรนะ?”
“คนที่นายเรียกหล่อนๆ เธอชื่อ คลารา เคท เกรย์เมอร์ อาจจะเป็นเคท หรือคลาราสำหรับคนรู้จักมักคุ้น”
“ฝรั่งหรอกหรือ? ฉันก็พอมองเห็นอยู่หรอกนะว่าน่าจะมีเลือดตะวันตกผสม เป็นลูกครึ่งลูกค่อน แต่ก็นึกว่าจะมีชื่อ หรือไม่ก็นามสกุลไทยๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ฟังเป็นฝรั่งทั้งดุ้น แล้วพอจะรู้อะไรอีกบ้างนอกจากชื่อนามสกุล รถที่ขับมานั่นล่ะ นายบอกว่าป้ายทะเบียนจังหวัดนี้ไม่ใช่หรือ”
“ฉันเช็คดูแล้ว เป็นรถเช่ามาจากอู่นำโชค จากที่ได้พูดคุยกับเจ้าของอู่เลยได้รู้เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย”
“รู้อะไร?”
“ดูเหมือนคุณคลารา เคทของเราจะสนใจคุณยายแสงโสม เจ้าของไร่จันทร์ฉายเป็นพิเศษ ซักถามไปถึงลูกชายของคุณยายแสงโสม ซึ่งคนรุ่นหลังๆ แทบจะไม่รู้ว่าท่านมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง แต่ได้หายสาบสูญไปนานยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นฉันกับนายยังเด็กอยู่ด้วยซ้ำ”
“ลูกชายของคุณยายแสงโสม? อารพีน่ะ?”
“ใช่ หรืออาจไม่ใช่ เพราะชื่อที่ถูกถามถึงคือภูมิ จันทร์ฉาย ไม่ใช่ ภูมิรพี โสมนันท์ เจ้าของอู่เล่าว่าท่าทาท่าทางคุณคลารา เคทผิดหวังทีเดียวเมื่อเขาบอกว่าเท่าที่รู้ เจ้าของไร่จันทร์ฉายมีแต่ลูกสาว ซึ่งเขาพอจะรู้จักอยู่คนหนึ่งคือคุณอาสวพร คือเขาไม่ใช่คนทางนี้ก็ไม่ค่อยรู้อะไรละเอียด แล้วอารพีก็สาบสูญไปนานอย่างว่า ขนาดคนแถวนี้ยังออกจะเลือนๆ กันไปแล้วด้วยซ้ำว่าคุณยายแสงโสมเคยมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง”
คมกริชทำท่าคิด พูดเสียงคาดคะเน
“นายคิดอย่างฉันไหมวะ แม่สาวคลารา เคทของนายคนนี้อาจจะรู้จัก หรืออย่างน้อยก็บังเอิญได้เคยเจออารพี พอมาเที่ยวเมืองไทยก็เลยคิดจะแวะมาเยี่ยมเยือน อารพีอาจเล่าให้ฟังว่ามีไร่อยู่ที่นี่”
“ก็อาจเป็นไปได้ แต่คำนวณจากระยะเวลานับแต่อารพีหายสาบสูญ กับอายุของเธอ ฉันยังสงสัยเรื่องเคยรู้จัก หรือเคยพบอารพี”
“นายรู้ด้วยว่าเธออายุเท่าไหร่?” คมกริชเลิกคิ้วสูง มองเพื่อนเกือบจะเป็นล้อเลียน
วินภวัตทำหน้าเฉย ตอบเสียงเฉยพอกัน
“ก็ดูเอาจากในพาสปอร์ตนั่นแหละ”
“แล้วไป ฉันก็นึกว่าที่ศิรดาพูดกับฉันเมื่อวานจะเป็นจริงเสียแล้วซะอีก”
“ศิรดาพูดอะไรกับนาย?” วินภวัตขุ่นคิ้ว
“ก็พูดทำนองว่านายทำท่าติดอกติดใจผู้หญิงคนนี้ แล้วก็ดูเป็นห่วงเป็นใยมาก ก่อนฉันจะมาถึงนายก็คอยเฝ้าไม่ห่าง น้องสะใภ้นายไม่สบายใจนักหรอก”
“ทำไมจะต้องไม่สบายใจหากฉันเกิดจะสนใจขึ้นมาจริง?”
“ก็... คงห่วงสถานภาพตัวเองกับลูกมั้ง นายอย่าลืมสิว่าเวลานี้ศิรดาอยู่ที่นี่แค่ในฐานะเมียม่ายของนายวัท พูดได้ว่าเป็นแค่ผู้อาศัยคนหนึ่ง ถ้านายแต่งงานเมื่อไหร่ ฐานะของเธอก็จะลดลงไปอีก เวลานี้ นายยังโสด เธอก็ยังพอมีความหมายเพราะช่วยดูแลบ้านช่องให้นาย เรียกได้ว่าพอมีความสำคัญอยู่บ้าง แต่เมื่อไหร่นายแต่งงานหน้าที่ดูแลบ้านช่องก็จะตกไปเป็นของเมียนายที่จะมาเป็นนายผู้หญิงของบ้านอย่างแท้จริง”
“ศิรดาพูด หรือนายพูดเอง?”
วินภวัตเขม้นมองหน้าเพื่อน คมกริชยักไหล่
“เอาเป็นว่าฉันสรุปเอาจากคำพูดบางประโยคกับท่าทางไม่สบายใจของของน้องสะใภ้นายละกัน”
“ดูนายจะเป็นห่วงน้องสะใภ้ฉันมากนะ” วินภวัตแย็บ
เหมือนจะได้ผล คุณหมอหนุ่มสะบัดหน้าหนีสายตาจับจ้องของเขาทันทีแต่วินภวัตก็ยังเห็นอยู่ดีว่าเพื่อนของเขาหน้าแดงแปร๊ด แดงถึงใบหู และยังลามถึงลำคอ
พักใหญ่เลยละ ใบหน้าหันหนีจึงหันกลับมาพูดเสียงเฉยๆ สีหน้าท่าทีปกติอย่างระงับอารมณ์ส่วนลึกได้แล้ว วินภวัตไม่คิดจะแหย่ต่อในเรื่องที่เพื่อนยังไม่ต้องการเปิดเผย
“นายว่าเป็นได้ไหมที่ผู้หญิงคนนี้อาจจะเคยรู้จักอารพี” คมกริชถามถึงเรื่องที่พูดกันแต่ต้น
“ก็อาจเป็นได้” วินภวัตตอบ “แต่ถ้ารู้จักก็น่าจะตั้งแต่ยังเด็กมาก อย่าลืมว่า เท่าที่เรารู้ๆ ไม่เคยมีข่าวคราวจากอารพีเลยตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ จนฉันเองก็ลืมๆ ไปแล้ว นึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าอารพีหนีหายออกจากบ้านด้วยสาเหตุอะไร แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด อย่างน้อย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ รู้จักคิดอย่างมีเหตุมีผลไม่เอาแต่อารมณ์อย่างวัยรุ่นใจร้อน อารพีก็น่าจะสำนึกได้ว่าตัวเองเป็นที่รักของครอบครัวแค่ไหนโดยเฉพาะพ่อกับแม่ที่มีลูกชายอยู่คนเดียว แถมเป็นลูกคนสุดท้องที่ท่านเองแทบจะสิ้นหวังแล้วว่าคงไม่มีโอกาสได้ลูกชายไว้สืบสกุล”
“พูดยากว่ะ” นายแพทย์หนุ่มพูด “จิตใจคนเราซับซ้อนนัก ใครจะไปรู้ว่าลึกลงไปในใจใครคิดอะไรอยู่ แล้วก็มีทางเป็นไปได้สูงว่าอารพีอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นทุกข์สุขชั่วดียังไงคงส่งข่าวมาบ้าง ไม่ใช่หายจ้อยแบบนี้”
“ก็คงต้องรอถามเอาจากคนไข้ในความดูแลของนายแหละว่ารู้จักอารพีที่ไหน เมื่อไหร่ นี่พูดถึงกรณี ภูมิ จันทร์ฉาย เป็นคนเดียวกับภูมิรพี โสมนันท์ ลูกชายคนเดียวที่หายสาบสูญไปกว่ายี่สิบปีของคุณตาภามกับคุณยายแสงโสมเจ้าของไร่จันทร์ฉายน่ะนะ”
“นายจะไม่ลองโทรไปที่ไร่จันทร์ฉายสักหน่อยหรือ บางทีทางนั้นเขาอาจจะรู้อะไรที่เราไม่รู้ก็ได้นะ”
วินภวัตนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ
“รอให้คนไข้ของนายได้สติพอจะบอกอะไรเราได้ด้วยตัวเองก่อนจะดีกว่า”
“ตามใจ ถ้าฉันวินิจฉัยไม่ผิดพลาด คิดว่าภายในสิบสองชั่วโมงนี้นางสาว คลารา เคท เกรย์เมอร์ของนายน่าจะได้สติ เอ๊ะ! ว่าแต่เป็น มีส หรือ มีสซีสนะ อ้อ ฉันไม่น่าถาม ต้องเป็นมีสสิ ไม่งั้นนายคงไม่...”
คมกริชทิ้งคำพูดให้ขาดหาย ทำหน้าอมยิ้ม
“ฉันคงไม่อะไร แน่จริงก็พูดออกมาให้จบสิวะ”
“ไม่งั้นนายก็คงไม่ทำท่าห่วงหาอาทร อยากเก็บเธอไว้กับตัวแบบนี้นะซี นี่สำนวนศิรดา ไม่ใช่ฉัน”
