บทที่ 2
“อืม…ว่าแต่พี่จูนเองก็มาแต่เช้าเชียว บอกกี่ครั้งแล้วว่ามาสายๆ ก็ได้” เจ้าของห้องถามกลับบ้าง เพียงขวัญเอื้อมมือไปเปิดไฟ เพราะไม่อยากให้วิรัชฎานั่งอยู่มืดๆ เจ้าของห้องทำตาหยีทันที แสงที่สว่างขึ้นภายในห้อง ทำให้สายตาของผู้จัดการมองเห็นรอยคล้ำบนใบหน้าสวย
“พี่ชินแล้วนะ เอ๋…ตาโบ๋แบบนี้ได้ไงหรือยังไม่ได้นอน”
“ฝันร้ายนิดหน่อย”
“เรื่องพ่ออีกหรือเปล่า” เพียงขวัญเอ่ยถาม เพราะในใจของวิรัชฎาคงมีเรื่องเดียวนี่แหละที่มักจะทำให้แววตาที่สุกสกาว สดใส กลายเป็นความหมองหม่น ซึ่งคนถูกถามก็เอ่ยรับอย่างไม่ปิดบัง
“ใช่ค่ะ”
“อย่าคิดมากนะเคท เรื่องที่เกิดขึ้นก็ไหนบอกพี่เองว่าที่บ้านไม่รู้ไง”
“ก็ใช่ แต่ความลับไม่มีในโลกนะพี่จูน สักวันพ่อกับน้องก็ต้องรู้ว่าเคทมาทำอาชีพอะไรที่นี่ สังคมต่างจังหวัดด้วยแล้ว ถ้ารู้ว่าลูกสาวบ้านไหนทำให้ขายหน้าก็ประกาศไปทั่ว”
“แต่ถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่รู้ไม่ใช่เหรอ ใจเย็นๆ” ผู้จัดการพยายามเอ่ยปลอบ
“แต่เคทก็ยังกลัว” วิรัชฎานั่งก้มหน้านิ่ง เธอกลัวจริงๆ กลัวหัวใจพ่อจะแตกสลายถ้ารู้ว่าเธอมาทำอะไรที่ลอนดอน เพราะเธอบอกพ่อไปเพียงว่ามาทำงานกับเพื่อนที่นี่เท่านั้นเอง
“ถึงเป็นนางแบบให้หนังสือแนวอีโรติก เปลืองเนื้อเปลืองตัวกับการถ่ายรูป แต่พี่รู้นะว่าเคทเป็นคนยังไง เราไม่ได้ทำตัวเสียหาย ยังรักนวลสงวนตัวในแบบของสาวไทย พี่เชื่อว่าพ่อต้องเข้าใจ” เพียงขวัญพยายามเอ่ยปลอบด้วยความห่วงใยที่ออกมาจากแววตา คำพูดและการกระทำ
เพราะจะว่าไปวิรัชฎาก็คือคนที่ทำให้เธอลืมตาอ้าปากได้ จากการเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง เปลี่ยนตัวเองมาเป็นผู้จัดการนางแบบ ถ้าวันนั้นวิรัชฎาไม่หยิบยื่นโอกาสนี้ให้ มีหรือจะมีเพียงขวัญในวันนี้ เงินเดือนมีใช้มากกว่าแต่ก่อน จนส่งกลับบ้านเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ถ้ายังเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟตามร้านอาหารต่อก็ไม่รู้ว่าคุณภาพชีวิตจะดีเท่าตอนนี้ไหม
“แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เคทจะไม่เลือกเส้นทางนี้ ไม่เป็นอันขาด” วิรัชฎารู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่บริเวณลำคอ เธอคับแค้นใจจนพูดอะไรแทบไม่ออก
“แต่ที่ต้องทำ เพราะเคทมีความจำเป็นนี่นา อ้อ…จริงสิ ปีนี้น้องสาวเคทก็จะเรียนจบปริญญาแล้วใช่ไหม” ผู้จัดการสาวจงใจเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง เพราะรู้ว่าถ้าได้กล่าวถึงพ่อขึ้นมาเมื่อไหร่ วิรัชฎาจะเครียดทันที คนเราบางครั้งก็มีเรื่องที่ไวต่อความรู้สึกเหมือนกัน
“ใช่ค่ะ ถ้าเป็นไปได้ เคทอยากกลับไปถ่ายรูปรับปริญญากับน้อง”
“วันไหน พอจะรู้ไหม”
“วันเสาร์ที่ห้าพฤศจิกานี้ค่ะ” วิรัชฎาจำวันสำคัญนี้ได้แม่น แต่เธอจะไปได้ยังไง ทั้งๆ ที่อยากไปใจแทบขาด แต่ก็คงเป็นแค่ฝันกลางวัน
“กลับได้สิ ทำไมจะไม่ได้” คนพูดยิ้มกริ่ม เพราะรู้ตารางงานของวิรัชฎาแล้วนั่นเอง
“แต่วันนั้นยังไม่หมดสัญญาเลย เคทจะกลับเมืองไทยได้ยังไง ขืนไปก็ถูกฟ้องสิ” สีหน้าของวิรัชฎาสลดลงไปนิดหน่อย
“เอานี่ ตารางถ่ายแบบ” พูดจบเพียงขวัญก็ยื่นแฟ้มงานให้วิรัชฎา แต่เจ้าตัวกลับไม่ค่อยสนใจ
“เอ๊ะ! ได้มาแล้วเหรอคะ”
“อืม…เปิดดูสิ”
“ไม่ค่อยอยากดูเลยให้ตาย” หญิงสาวเอ่ยตอบอย่างไม่แยแส ผู้จัดการสาวถึงกับส่ายหน้าให้ เพราะน้อยครั้งที่จะเห็นวิรัชฎาเอาแต่ใจแบบนี้
“เอานะ เปิดดูหน่อย” เพียงขวัญเอ่ยรบเร้า นางแบบสาวถึงกับถอนหายใจออกมา เธอไม่อยากรับรู้เรื่องนี้ จะถ่ายแบบที่ไหน อะไร ยังไงเธอก็ไม่เคยสน เพราะไปทำตามหน้าที่ให้ทุกอย่างจบๆ เท่านั้น แต่ครั้งนี้เหมือนมันจะต่างออกไป
“เมืองไทย!” วิรัชฎาเอ่ยขึ้นอย่างดีใจยามได้อ่านตารางงานของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ามองผู้จัดการส่วนตัวที่พยักหน้าให้ พร้อมส่งยิ้มกลับมาให้เธอเหมือนกัน
“ใช่...งานชิ้นสุดท้ายของเคท คือการไปถ่ายแบบที่เมืองไทยตั้งแต่วันที่ 28 ตุลา ถึง 2 พฤศจิกานี้ งานเสร็จวันที่ 2 ฉะนั้นเคทก็มีเวลาไปงานรับปริญญาน้องสาวในวันที่ 5 ได้อย่างสบายๆ”
“เป็นไปได้ยังไงคะ ไหนบอกไปที่บราซิล แถมไม่ใช่วันนี้ด้วย”
“เปลี่ยนแผนน่ะ เพราะที่นั่นไม่สะดวก อีกอย่างปิแอร์ก็อยากได้งานเร็วหน่อย จึงกำหนดวันมาแบบนี้” คนแรกที่ได้รู้ข่าวนี้ดีใจไม่น้อย เพราะเธอหวังให้เป็นแบบนี้ลึกๆ อยู่แล้ว วิรัชฎาจะได้กลับไปเมืองไทย หลังเสร็จงานเธอคงอยู่ที่นู้นถาวร ไม่เหมือนหญิงสาวที่ยังต้องระหกระเหินอยู่ต่างถิ่น
“เสร็จงานแล้ว เคทก็ไม่ต้องมาที่นี่แล้วใช่ไหมคะ” แววตาของความหวังเปล่งประกาย เพราะนี่คือข้อตกลงที่ปิแอร์ให้ไว้กับเธอ วิรัชฎายิ้มยามคิดถึงใบหน้าของพ่อและน้องสาว ที่ทั้งสองคนอ้าแขนต้อนรับการกลับบ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเพียงความฝันหรือเปล่า
“อันนี้พี่ก็ไม่รู้ เคทต้องเข้าไปคุยกับคุณปิแอร์เองนะจ๊ะ” เพียงขวัญเอ่ยยิ้มๆ เพราะถ้าปิแอร์ไม่ยินยอมก็คงไม่วางแผนงานออกมาแบบนี้หรอก หนุ่มใหญ่คนนั้นแม้จะเขี้ยวเรื่องงาน แต่ก็เป็นคนดีอยู่เหมือนกัน เขาเอ็นดูวิรัชฎาไม่น้อย เพราะหญิงสาวอ่อนโยนในแบบฉบับของสาวเอเชีย ไม่เหมือนนางแบบคนอื่นๆ ในสังกัด ที่เป็นสังคมตะวันตกไปเสียหมด รวมทั้งนางแบบเอเชียบางคนด้วย
“ค่ะ” ใบหน้าสวยพยักรับอย่างเต็มใจ
“ยิ้มแบบนี้แล้วเคทสวยมาก...รู้ตัวไหม” ผู้จัดการสาวเอ่ยชม ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้วิรัชฎา ซึ่งไม่มีอะไรมากแค่น้ำส้ม นมสดกับขนมปังสองแผ่นเท่านั้นเอง ทางด้านเจ้าของห้องก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับตารางงานในมือ
