บท
ตั้งค่า

บทที่2 แม่เลี้ยงเดี่ยว?

สวนด้านหลังโรงแรมโอบฟ้าคือสถานที่ที่รณพีร์พาหลานสาวมาปักหลักรอผู้เป็นแม่ที่ไปทำธุระ บุษรินทร์นั่งเงียบกริบเช่นเดียวกับคุณอายังหนุ่มที่นิ่งมองหลานสาววิ่งเล่นอยู่ภายในสวนขนาดกว้าง

เด็กหญิงพิมพ์รตาไม่ได้วิ่งเล่นซนทำเพียงมองผีเสื้อที่เกาะอยู่บนเกสรดอกไม้ด้วยความสนอกสนใจแต่ถึงอย่างนั้นรณพีร์ก็ยังคงจับตามองหลานสาวอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจริง ๆ แล้วเด็กหญิงพิมพ์รตาจะดูโตกว่าเด็กวัยเดียวกันและพูดรู้เรื่องมากกว่าแต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย เกิดมีใครมารังแกหลานสาวเข้าจะทำยังไงล่ะ

“เอะคุณ เด็กคนนั้นเรียนห้องเดียวกับลูกเราหรือเปล่า” เสียงของโต๊ะข้าง ๆ เรียกให้บุษรินทร์และรณพีร์หันไปมองเป็นตาเดียวเพราะเด็กที่อยู่รอบบริเวณนี้มีแค่เด็กหญิงพิมพ์รตาเท่านั้นไม่แปลกที่เขาและเธอจะสงสัยว่าเด็กคนนั้นที่ถูกพูดถึงใช่หนูน้อยหรือไม่

โต๊ะข้าง ๆ เป็นคู่ชายหญิงอายุราวสามสิบเศษที่นั่งจิบกาแฟกันอยู่ บุษรินทร์ไม่รู้จักทั้งคู่แต่รณพีร์รู้จักเป็นอย่างดี ชายหนุ่มหันกลับไปมองหลานสาวพลางเงี่ยหูฟังราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของตน...อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนคู่นั้นจะพูดถึงหลานสาวเขายังไง

ฝ่ายชายมองไปตามที่ฝ่ายหญิงบอกก่อนจะพยักหน้าและตอบกลับ “ใช่สิ ลูกสาวเจ้าของโรงแรมนี้ด้วยนะ”

“แม่เป็นเจ้าของโรงแรมเชียวเหรอคะ ฉันนึกว่าเป็นเด็กชาวบ้านใจแตกท้องไม่มีพ่อซะอีก”

“อย่าเสียงดังไป ที่นี่ถิ่นเขาหูตาเขาเยอะแยะ”

“ก็เหมือนจริง ๆ นี่คะ ไม่เคยเห็นสามีหล่อนเลย” ฝ่ายหญิงที่ดูเหมือนไม่ได้ชื่นชอบเพื่อนร่วมชั้นของลูกคนนี้สักเท่าไหร่เอ่ยพลางยักไหล่ ไม่คิดว่าสิ่งที่พูดไปมันเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้โดยไม่รู้สักนิดว่ามีใครได้ยินสิ่งที่พูดอยู่

“อือ ก็อาจจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวจริง ๆ ก็ได้ ผมก็ไม่เห็นสามีเขามานานแล้วนะ ไม่สิ ไม่เห็นตั้งแต่มีลูกแหน่ะ เลิกแล้วมั้ง”

“ต๊าย ท้องกับคนอื่นหรือเปล่า สามีเลยทิ้ง” ผู้หญิงที่เหมือนจะไม่ชอบทั้งเด็กหญิงพิมพ์รตาทั้งแม่ของหนูน้อยอยู่แล้วอุทานอย่างมีจริตพลางมองไปยังหนูน้อยอย่างเย้ยหยัน “ไม่ให้มาใกล้ลูกเราจะดีกว่า เดี๋ยวลูกเราแปดเปื้อน”

ได้ยินคนนินทาเจ้านายบุษรินทร์ก็แทบอยากจะลุกไปด่าเสียให้ไม่กล้าพูดอีกแต่ไม่ทันได้ทำอะไรก็เห็นลันน์ลภัสยืนอยู่ด้านหลังของคนทั้งคู่แล้ว รณพีร์ลุกไปหาหญิงสาวทันทีราวกับพร้อมจะเป็นการ์ดให้ถ้าหญิงสาวจะเล่นงานคนทั้งคู่

“ขอโทษนะคะที่เรื่องของฉันมันทำให้พวกคุณสองคนต้องกังวล” น้ำเสียงราบเรียบเจือความเย็นชาส่งไปให้คนทั้งสองเรียกให้ทั้งคู่ต้องหันไปมองด้วยความตกใจ

“มะ แม่เลี้ยง”

“ขอโทษทีค่ะ มาได้ยินเข้าพอดี ลำบากแย่เลยที่เรื่องของฉันทำให้พวกคุณต้องมากังวลเรื่องรกสมองเอาเป็นว่าไม่ต้องกังวลนะคะฉันจะไม่ให้ลูกสาวฉันไปเฉียดใกล้ลูกของคุณนคินทร์กับภรรยาแน่นอนค่ะ”

“เอ่อผม”

“ส่วนเรื่องของฉันกับสามีจะเป็นยังไงก็ให้มันเป็นเรื่องของฉันเถอะค่ะ รกสมองเปล่า ๆเสียเวลาดูแลสั่งสอนลูกหลานแย่เลย เอาเวลาอันมีค่าไปทำสิ่งที่มีค่าเถอะนะคะ” แม่เลี้ยงแห่งไร่อิงตะวันว่าแล้วก็มองเลยคนทั้งคู่ไปที่ลูกสาวราวกับว่าทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่เงา “ลลินน์คะ ไปกันเถอะลูก”

“ค่ะแม่จ๋า” หนูน้อยพิมพ์รตาที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวใด ๆ ตะโกนตอบผู้เป็นแม่ก่อนจะวิ่งเตาะแตะเข้ามาหาก่อนที่สองแม่ลูกจะเดินออกไปจากตรงนั้น รณพีร์ยังคงยืนอยู่และจ้องมองคนทั้งคู่ตาเขม่น

“ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ...จะพูดอะไรระวังโดนฟ้องนะครับคุณนคินทร์ ผมขอเตือนด้วยความปรารถนาดี”

พูดจนจบประโยครณพีร์ก็เบือนหน้าหนีแต่ก็ไม่วายหันกลับมาพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินตามสองแม่ลูกไป “อ้อ รวมถึงคุณผู้หญิงด้วยนะครับ จะพูดอะไรเกรงใจเงินในกระเป๋าสามีด้วยเงินทองไม่ได้หาง่ายเหมือนกระดาษชำระที่โรงแรมตั้งไว้ให้ใช้ฟรี ๆ”

บุษรินทร์แทบจะหลุดหัวเราะแต่ก็กลั้นไว้และเดินตามชายหนุ่มไปด้วยความรู้สึกสะใจ ตอนแรกที่ลันน์ลภัสพูดเธอรู้สึกว่าการตอกกลับคนนินทาของแม่เลี้ยงยังสาวยังดูให้เกียรติสองคนนั้นเกินไปแต่พอได้ยินที่รณพีร์บอกแก่คนทั้งสองความคิดว่าให้เกียรติเกินไปก็ปลิวหายไปทันที

ผู้ชายคนนี้รู้จักเรื่องกฎมงกฎหมายซะด้วยแถมยังเอามาพูดเล่นงานคนอื่นได้อย่างปากร้ายที่สุด เงินทองไม่ได้หาง่ายเหมือนกระดาษชำระที่โรงแรมตั้งไว้ให้ใช้ฟรี ๆ

แต่ถึงจะสะใจไม่น้อยบุษรินทร์ก็ยังนึกหมั่นไส้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ดี คิดขึ้นมาแล้วก็นึกโมโห ไม่ใช่แค่โมโหผู้หญิงปากไม่ดีคนนั้นหรอกนะแต่โมโหคนที่ทำให้ลันน์ลภัสถูกนินทาแบบนี้ด้วย

“นี่คุณผู้ช่วย” คนนึกโมโหเอ่ยเรียกชายหนุ่มที่เดินนำอยู่ก่อนจะรีบก้าวยาว ๆ เข้าไปหา

“อะไร”

“เขาว่าคุณเป็นอาของน้องลลินน์ ก็หมายความว่าคุณเป็นน้องชายพ่อใช่มั้ย”

คนถูกถามหยุดเดินหันมามองพี่เลี้ยงของหลานสาวด้วยความรู้สึกโมโหอยู่ลึก ๆ “แล้วมันทำไม”

“พี่ชายคุณน่ะตายแล้วเหรอ ถึงปล่อยให้ลูกเมียเจอคนนินทาแบบนี้น่ะ”

“ไม่รู้สิ โดนโจรยิงตายไปแล้วมั้ง” แทนที่รณพีร์จะโกรธที่มีคนมาถามว่าพี่ชายตายแล้วเหรอชายหนุ่มกลับเออออด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่าตัวเองก็โมโหพี่ชายอยู่เหมือนกัน

บุษรินทร์งงไปพักใหญ่แต่ก็เดินตามไปโดยไม่ได้สอบถามต่อ เธอเองก็เพิ่งมาอยู่ที่ไร่อิงตะวันไม่นาน ตั้งแต่มาก็ยังไม่เคยเห็นสามีของลันน์ลภัสเช่นกัน และก็ไม่มีใครพูดเรื่องของเจ้านายให้เธอฟังเลยสักคน เรื่องลันน์ลภัสเธอไม่รู้แน่ชัดดังนั้นจะให้ตัดสินใครมันก็คงไม่ได้ แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผู้ชายที่ไม่อยู่ดูแลลูกเมียแบบนั้นคิดยังไงก็ไม่น่าใช่คนดี

ไม่ใช่แค่บุษรินทร์ที่กำลังคิดไปถึงคนที่ไม่น่าใช่คนดี รณพีร์ที่เดินนำหน้าเองก็คิดไปถึงคนคนนั้นเช่นกัน ป่านนี้ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันนะ โดนยิงม่องเท่งไปแล้วหรือยัง

อีกฟากหนึ่ง

“ฮัดเช่ย!” เสียงจามติด ๆ กันจากใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโซฟาทำให้หลาย ๆ คนต้องหันมองตาม ๆ กัน ร้อยวันพันปีป่วยสักแอะเดียวก็ไม่เคยมีใครเห็นแต่วันนี้ใครคนนั้นกลับจามติด ๆ กันเสียอย่างนั้น

“เอ ไม่สบายหรือมีใครคิดถึงครับเนี่ยผู้กอง จามหลายครั้งแล้วนะ” ร้อยตำรวจตรีพิชญะเอ่ยถามขึ้นอย่างกวน ๆ ก่อนจะเข้าไปนั่งใกล้ ๆ คนที่จามไม่ยอมหยุด “ไหวมั้ยครับเนี่ย คืนนี้งานใหญ่นะ”

คนถูกถามอย่างร้อยตำรวจเอกรัชพลเลื่อนมือมาถูไถจมูกตัวเองที่มันคัน ๆ จนจามไม่ยอมหยุดก่อนจะเอื้อมไปหยิบเสื้อเกราะกันกระสุนมาใส่พลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ไหวสิ แค่จาม ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

ก๊อก ๆ

“สารวัตรเรียกรวมพลแล้วครับ” นายตำรวจนอกเครื่องแบบจากด้านนอกห้องโผล่หน้าเข้ามาเรียกก่อนที่คนภายในห้องที่บ้างก็ยืนใส่เสื้อเกราะอยู่ บ้างก็นั่งเช็คอาวุธลุกฮือกันตรงไปที่ประตูห้อง

รัชพลเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้อง ชายหนุ่มใส่เสื้อเกราะจนเรียบร้อยก่อนจะเช็คอาวุธปืนสั้นประจำตัวพลางลุกเดิน ทว่าไม่ทันจะไปถึงห้องก็สะดุดเข้ากับลังกระดาษที่วางอยู่ข้าง ๆ โซฟาเข้าเสียก่อน

ชายหนุ่มสบถเบา ๆ ก่อนจะเก็บสิ่งของที่อยู่ภายในใส่กล่อง หัวเสียกว่าการเดินสะดุดก็คือของที่สะดุดเป็นของของตัวเอง ดวงตาคู่คมเหลือบมองซองจดหมายที่โผล่ออกมาจากหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาเล่มที่เขาไม่เคยหยิบมาอ่านพลางขมวดคิ้ว

เขาเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดูอย่างงุนงงก่อนจะเก็บใส่กระเป๋ากางเกงเมื่อเห็นว่าเป็นจดหมายอะไร

จดหมายฉบับนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร ซองจดหมายซีดจางไปตามกาลเวลาแต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มเลือกจะเก็บใส่กระเป๋าแทนที่จะเก็บกลับไว้ในหนังสือก็เพราะด้านหน้าซองจดหมายมีชื่อผู้ส่งว่า ‘ลันน์ลภัส นฤทธิ์กุล พลาพลพิทักษ์’ และจ่าหน้าซองถึง ‘ร้อยตำรวจโทรัชพล พลาพลพิทักษ์’

จดหมายฉบับนี้ถูกส่งมาเมื่อสี่ปีที่แล้วแต่เขากลับยังไม่เคยเปิดอ่านเพราะตอนที่ได้รับมีคดีเร่งด่วนจนต้องสอดเก็บไว้ในหนังสือที่ถูกส่งมาพร้อมกับจดหมาย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาเอาใส่ไว้ในกล่องที่มีเอกสารคดีสำคัญบางคดีเอาไว้เสียจนนานขนาดนี้ ถ้าไม่เอากล่องนี้ออกมาเพราะจะรวบรวมเอกสารเพื่อเขียนสำนวนคดีที่ใกล้จะปิดได้เต็มทีเขาก็คงจะลืมไปแล้วว่าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาที่ไม่เคยติดต่อมาเลยส่งจดหมายมาหาเขาหนึ่งฉบับ

ปิดคดีวันนี้ได้แล้วคงจะต้องอ่านดูสักหน่อย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel