บทที่15 ไม่หย่า
“ยายจี” ทันทีที่เข้ามาถึงห้องครัวเด็กหญิงพิมพ์รตาก็ร้องเรียกศจีแม่ครัวฝีมือดีของบ้านพลาพลาพิทักษ์ทันทีจนหญิงชราที่กำลังดูหลานสาวห่อขมอยู่ต้องรีบหันไปมอง
ใครจะไม่รู้ว่าเสียงเจือยแจ้วแบบนี้เป็นเสียงของคุณหนูตัวน้อยที่ทุกคนในบ้านต่างก็รักและเอ็นดู กำลังจะตอบรับคำเรียกอยู่แล้วเชียวแต่พอเห็นว่าคุณหนูลลินน์ไม่ได้วิ่งมาในครัวเพียงลำพังแต่มีใครอีกคนมาด้วยหญิงชราก็ต้องชะงักด้วยความตื่นตกใจ
ศศิหลานสาวที่เห็นผู้เป็นป้ามีอาการแปลกไปก็รีบมองตามแล้วก็ต้องตกใจไปอีกคน
“ทะ ทำไม” ถ้าคนที่มากับเด็กหญิงพิมพ์รตาเป็นพี่เลี้ยงที่มากับหนูน้อยบ่อย ๆ ก็แล้วไปเถอะ แต่นี่ทำไมถึงมากับลูกชายคนโตของบ้านได้ละ
พ่อลูกไปเจอกันตอนไหนกัน
“ยายจี พี่ศิ ลลินน์หิวค่ะมีอะไรให้ลลินน์กินมั้ยคะ” เด็กน้อยที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวบอกพร้อมกับพยายามเขย่งยืดคอขึ้นมองบนโต๊ะว่ามีอะไรให้เธอกินรองท้องก่อนจะกินข้าวเที่ยงกับคุณปู่คุณย่าหรือไม่
“เอ่อ มีค่ะ ยายทำสาคูไส้หมูกับข้าวเกรียบปากหม้อไว้พอดี” ศจีตอบคุณหนูตัวน้อยที่เวลามาที่บ้านนี้ก็มักจะมาทำเสียงเจือยแจ้วที่ห้องครัวเสมอหากแต่สายตากลับมองเลยไปที่ลูกชายคนโตของบ้านที่ยังถูกลูกสาวจับมือไว้ไม่ยอมปล่อย ความจริงวันนี้คุณผู้หญิงให้ทำข้าวเกรียบปากหม้อและสาคูไส้หมูไว้ให้รัชพลเพราะชายหนุ่มชื่นชอบสาคู่ไส้หมูและข้าวเกรียบปากหม้อฝีมือเธอมาก แต่ใครจะไปคิดว่าจะมีคนได้รับประทานของโปรดถึงสองคน
คุณหนูตัวน้อย ๆ เองก็ชื่นชอบสาคูไส้หมูและข้าวเกรียบปากหม้อเช่นกัน เป็นเรื่องบังเอิญที่น่ารักจนเธออยากจะบอกให้รัชพลได้รู้
แต่ว่า...เจ้านายคนนี้ของเธอรู้หรือยังหนอว่าเจ้าหนูตัวจ้อยที่จับจูงมานั้นคือลูกสาวแท้ ๆ ที่เขาไม่เคยรับรู้
“ว้าว วันนี้มีของโปรดด้วย อย่างกับรู้ว่าแม่จ๋าจะพาลลินน์มาแหน่ะ” ยัยหนูบอกก่อนจะปล่อยมือจากคุณลุงที่ไม่รู้ว่าเข้ามาในบ้านหลังนี้ทำไมก่อนจะปีนป่ายขึ้นนั่งบนเก้าอี้อย่างรู้งาน แต่ก็ไม่วายหันไปบอกยายศจีให้เผื่อแผ่ให้แก่คุณลุงที่มาด้วยด้วย เผื่อว่าคุณลุงจะหิว
“ตักให้คุณลุงคนนี้ด้วยนะคะยายจี คุณลุงช่วยต้นเพลิงไว้ด้วย ไว้ใจได้ค่ะ”
“เอ่อ ค่ะ ๆ เดี๋ยวยายให้พี่ศิจัดการให้” ได้ยินคุณหนูน้อยเรียกว่าคุณลุงศจีก็นึกใจแป้ว โธ่ เธอก็นึกว่าพ่อลูกจะได้รู้จักกันแล้ว ที่แท้ก็ยัง
ศศิที่ฟังอยู่พลอยถอนใจตามคนเป็นป้าไปอีกคนก่อนจะตักสาคูไส้หมูและข้าวเกรียบปากหม้อให้กับสองพ่อลูก “ได้แล้วค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ” มือป้อม ๆ ยกขึ้นไหว้ขอบคุณก่อนจะกวักมือเรียกเรียกชายหนุ่มมานั่งข้าง ๆ “คุณลุงมานี่สิคะ ยายจีทำขนมอร่อยมาก ๆ เลยล่ะ คุณลุงลองมาชิมสิ”
รัชพลก้าวไปตามที่ถูกเรียกก่อนจะนั่งลงอย่างว่าง่าย จริง ๆ แล้วเขายังไม่อยากจะกินอะไรในตอนนี้เพราะรู้สึกอิ่มตื้อไปหมดจากการได้พบกับหนูน้อย แต่พอถูกรบเร้าเข้าชายหนุ่มจึงต้องยอมในที่สุด ไหน ๆ ก็เป็นของโปรดที่ไม่ได้ลิ้มลองมานานซะด้วย
ศจีมองสองพ่อลูกด้วยความรู้สึกเต็มตื้น ทั้งคู่อาจไม่รู้แต่ว่าศจีและหลานสาวมองเห็น อากัปกิริยาในการรับประทานของทั้งสองพ่อลูกเหมือนกันราวกับเลียนแบบ มองไกล ๆ แม้ไม่มีใครบอกก็รู้ได้เลยว่าเป็นพ่อลูกกัน นี่เป็นพันธุกรรมสินะ เธอละอยากให้คุณผู้ชายและคุณผู้หญิงของเธอมาเห็นเสียจริง ๆ
ไม่ใช่แค่ศจีและศศิที่มองดูสองพ่อลูกแต่รัชพลเองก็มองลูกสาวอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน เมื่อไหร่กันที่เขามองว่าการกระทำของเด็กน้อยมันช่างน่ารักและน่าเอ็นดู เคยเจอลูกของเพื่อนร่วมงานอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะน่ามองสักเท่าไหร่ แต่พอมาเป็นยัยหนูคนนี้ใจเขามันกลับฟูฟ่องราวกับมีดอกไม้บานอยู่ภายใน เข้าใจคำที่เพื่อนร่วมงานเคยพูดเลยว่าอาการโดนลูกตกมันเป็นยังไง
“อร่อยมั้ยคะ” เห็นสองพ่อลูกรับประทานกันจนเกลี้ยงศจีก็สอบถามทันทีตามประสาคนทำอาหาร ใครเล่าจะไม่อยากได้รับคำติชมอาหารที่ทำไป
“มาก ๆ เลยค่ะยายจี ใช่มั้ยคะคุณลุง”
“ใช่ครับ อร่อยมากเลย อร่อยกว่าที่เคยได้กินมา” รัชพลเสริมคำพูดของเด็กหญิงพิมพ์รตาพร้อมกับมองจานที่ว่างเปล่า เขาคิดอย่างนั้นจริง ๆ มันอร่อยกว่าที่เคย ๆ กินมา แต่เขาก็รู้ดีว่ารสชาติของมันอร่อยเหมือนเดิมเพียงแค่วันนี้เขาได้กินกับยัยหนูเท่านั้นมันก็เลยอร่อยกว่าเดิมมาก ๆ
“โอ๊ะ” อยู่ ๆ ยัยหนูก็ร้องอุทานขึ้นก่อนจะลุกลงจากเก้าอี้ด้วยหน้าตารีบร้อน “ลลินน์ลืมพี่บัว ความจริงจะไปกินขนมกับพี่บัวที่สวน”
“ตายละ ป่านนี้ไม่รอน้องลลินน์แย่แล้วเหรอคะเนี่ย”
“งั้นลลินน์ไปหาพี่บัวก่อนดีกว่า ต้องเอาขนมไปให้พี่บัวด้วยจะได้ไม่งอน” เด็กหญิงบอกความต้องการก่อนจะหันมาทางคุณลุงที่ทำเอาเธอลืมพี่เลี้ยงสาว “คุณลุงคะ ลลินน์ต้องไปแล้ว แล้วเจอกันใหม่น๊า”
เด็กหญิงพิมพ์รตาพูดจบก็พอดีกับที่ศศิจัดข้าวเกรียบปากหม้อและสาคูไส้หมูใส่จานวางลงบนถาดเป็นที่เรียบร้อย ยัยหนูไม่ได้เดินจากไปแต่ยื่นมือไปรับเอาถาดมาประคองไว้อย่างระวังและตั้งใจ รัชพลขมวดคิ้วมองก่อนจะถามด้วยความสงสัย “ทำไมไม่ให้ศศิเอาถือไปให้ล่ะ”
“แม่จ๋าสอนว่าจะเอาแต่พึ่งคนอื่นไม่ได้ อะไรทำได้ก็ทำเวลาไม่มีที่พึ่งจะได้ไม่ลำบาก ถือขนมเองลลินน์ทำได้และลลินน์ก็อยากทำด้วย คุณลุงไม่ต้องห่วงค่ะ แค่นี้สบายมาก”
“ถือไหวแน่เหรอ ตัวแค่นี้เอง”
“ลลินน์เป็นลูกแม่จ๋า แค่นี้น่ะไหวอยู่แล้ว แม่จ๋าเหนื่อยกว่านี้ตั้งเท่าฟ้า” ทั้งที่เป็นการพูดอย่างตั้งใจคนฟังก็ควรจะรู้สึกปลาบปลื้มแทนคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ลูกสาวรู้ความตั้งแต่อายุแค่นี้แต่คำว่าเหนื่อยกว่าตั้งเท่าฟ้ากลับทำให้เกิดความเอ็นดูขึ้นแทนที่
โธ่ คำว่าเหนื่อยกว่าตั้งเท่าฟ้ามันดูจะแปลก ๆ อยู่นะ
รัชพลมองหนูน้อยพูดจบและเดินจากไปด้วยสายตาอ่านยาก จะว่าสับสนก็ได้ ภูมิใจก็มี รู้สึกผิดก็มาก คนเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีลูกสาวโตขนาดนี้แหละยังเป็นลูกที่รู้ความเอามาก ๆ ถึงกับต้องกำมือขึ้นปิดจมูกกลั้นตัวเองอย่างสุดตัวไม่ให้หลั่งน้ำตาออกมา ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่ทำเขารู้สึกตาร้อนผ่าว จมูกรู้สึกติดขัดแบบนี้มาก่อน
เด็กน้อยที่ค่อย ๆ เดินจากไป ยัยหนูดูสดใสและร่าเริงราวราวกับดอกทานตะวันที่เบ่งบานอยู่ตลอด บ่งบอกถึงการรดน้ำรวนดินเอาใจใส่ที่ดีจากผู้ปลูก คนที่เขาเคยมองแง่ร้าย คนที่เขาเคยทิ้งความเจ็บปวดไว้ให้ คนที่เขาไม่เคยมาดูแลตลอดหลายปีดูแลลูกของเขาได้อย่างดีทั้งที่ใบหน้าของแกจะเหมือนกับพ่อที่ใจร้ายคนนี้แค่ไหนก็ตาม ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นยกมือปิดหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกผิดเหนือคณา
“ป้า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” ไม่ทันที่รัชพลจะได้พูดอะไรกับศจีและศศิเสียงร้องโวยวายอ่างร้อนรนของใครคนนึงก็ดังมาพร้อมกับที่เจ้าของเสียงวิ่งพรวดพราดมาหาศจีทว่าพอเห็นว่าในครัวมีรัชพลอยู่ก็ต้องหลุดอุทาน “อุ้ย!”
“มีอะไรศิริ วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาทำไม มีเรื่องอะไร” ศจีรีบถาม คนที่เข้ามาใหม่คือศิริเป็นน้องสาวของศศิและทั้งคู่ถูกศจีดูแลมาตั้งแต่เล็ก ถือได้ว่าเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของศจีในการทำอาหารต่าง ๆ
ศิริต่างจากพี่สาวที่ชอบอยู่ในครัวช่วยผู้เป็นป้าเพราะมักจะอยากรู้อยากเห็นและถือเป็นคนที่รู้เรื่องในรีสอร์ทมากที่สุด พอเห็นว่าลูกสะใภ้ของบ้านมาหาเจ้านายทั้งที่ไม่ใช่วันหยุดซึ่งเป็นเรื่องผิดวิสัยจึงได้ไปแอบฟังตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น
เธอได้รู้เรื่องที่อยากรู้มาและกะจะนำมาเล่าให้ผู้เป็นป้าฟังเพราะเรื่องของเจ้านายคือเรื่องที่ศจีห่วงที่สุดแต่ในครัวกลับมาใครอีกคนอยู่ และไอ้เรื่องที่อาจจะพูดก็ดันเกี่ยวข้องจนต้องนึกชั่งใจว่าควรเล่าดีหรือไม่
“คือ...”
“อย่าอ้ำอึ้ง”
“ป้ารู้มั้ยแม่เลี้ยงมาทำไมทั้งที่วันนี้ไม่ใช่วันหยุด” เพราะผู้เป็นป้ารบเร้าแกมตำหนิศิริจึงยอมพูดในที่สุด แม้ว่ารัชพลจะอยู่ตรงนี้ด้วยก็ตาม เขาเป็นคนที่จะรู้เรื่องนี้มากกว่าใครเลยนะ เธอทำถูกแล้ว
คนไปแอบฟังมาปลอบใจตัวเองว่าทำถูกแล้วก่อนจะตอบคำถามที่เกริ่นยไปเองโดยไม่ต้องให้ใครถามว่าทำไม “แม่เลี้ยงมาคุยกับคุณท่านเรื่องหย่า เธอส่งทนายโชคเอาใบหย่าไปให้คุณเพลิงเซ็นต์ที่กรุงเทพแล้วเมื่อวานนี้”
“ตาเถร” ศจีที่ได้ฟังอุทานด้วยความตกใจ ไม่ต่างจากศศิที่เบิกตากว้างเกือบเท่าไข่ห่าน ที่ตกใจที่สุดคงไม่พ้นรัชพล พอได้ยินศิริบอกเล่าใบหน้าของรัชพลก็ย่ำแย่ขึ้นไปกว่าเก่า นี่ถ้าเขาไม่กลับมาก่อนทนายของลัลน์ลภัสจะเอาใบหย่าไปให้เขาเซ็นต์สินะ...และเขาก็คงเซ็นต์ไปโดยไม่รู้เลยว่ามีอีกหนึ่งชีวิตก่อกำเนิดมาจากการกระทำของเขา
บ้าจริง เขาเกือบจะทำเรื่องที่เลวร้ายและผิดพลาดที่สุดในชีวิตไปแล้ว นึกขอบคุณคนตายไปแล้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ถ้าเสี่ยพจน์ไม่ย่ามใจคิดว่าเขารามือเขาก็คงไม่ได้จบคดีและกลับบ้าน เขาก็คงเป็นผู้ชายใจร้ายทิ้งลูกทิ้งเมียไปแล้ว
รัชพลไม่คิดจะหย่าอีกแล้ว เป็นตายยังไงเขาก็ไม่หย่า แม้จะรู้ตัวดีว่าที่ผ่านมาตัวเองไม่ดีแค่ไหนก็ตาม ได้เจอลูกน่ารักขนาดนี้ใครจะยอมให้ทุกอย่างมันจบกันละ!!!
คิดได้ดังนั้นรัชพลก็ยืนขึ้นทันทีและก้าวออกจากห้องครัวไปโดยไม่คิดพูดจาอะไร ไม่ต้องถามว่าอยู่ไหนเขาก็รู้ ก็ยัยหนูบอกว่าคุณปู่คุณย่าคุยกับแม่จ๋าอยู่ที่ห้องนั่งเล่นนี่นา
ใคร ๆ เห็นก็คิดว่ารัชพลเป็นประเภทคนใจเย็นและสุขุมแต่ใครจะรู้ดีเท่าตัวเขาดี รัชพลรู้ดีว่าตัวเองไม่เข้าข่ายใจเย็นและสุขุมสักเท่าไหร่ เรื่องบางเรื่องเขาบุ่มบ่ามและใจร้อนทั้งที่หน้าตาเหมือนจะนิ่ง ๆ แม้ว่าในส่วนของการทำงานเขาจะใจเย็นและสุขุม นิ่งสงบไม่บุ่มบ่ามซะส่วนใหญ่ แต่เขาก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนใจเย็น
ไม่เลยสักนิด ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองเขาไม่เคยใจเย็น นอกจากไม่ใจเย็นแล้วยังดื้อรั้นและเอาแต่ใจอีกด้วย...แน่นอน นั่นคือนิสัย เขาไม่อาจเปลี่ยนมันได้ง่าย ๆ
ในใจจึงต่อต้านว่า ‘ไม่หย่า ยังไงก็ไม่หย่า‘ อยู่ทุกนาทีที่เดินไปยังห้องนั่งเล่น ถ้าเขาไม่หย่าซะอย่างลัลน์ลภัสจะหย่าได้เหรอ ใบหย่ามันเซ็นต์คนเดียวก็ไร้ผล ดื้อดึง ดื้อรั้นเอาแต่ใจ นั่นแหละรัชพล พลาพลพิทักษ์
