บทที่11 พักร้อน
ปัง!
ทว่าเสี่ยพจน์ไม่อาจจะวิ่งหนีไปได้ดั่งใจคิดร่างก็ต้องทรุดลงอย่างช้า ๆ ด้วยความเจ็บปวด เรือยกายที่ยังนอนอยู่บนพื้นเพราะถูกผลักอย่างแรงขยับลุกพร้อมกับมองผลงานจากปลายกระบอกปืนของตนด้วยความเวทนา ไร้ซึ่งความสะใจใด ๆ
เขาก้าวเดินเข้าไปดูร่างที่นอนจมกองเลือกอยู่ก่อนจะยื่นมือไปจับชีพจรและถอนใจหนัก ๆ
มันจบแล้ว ไม่มีเสียงของชีพจรและวี่แววของลมหายใจจากคนที่ทรุดลงไป เสี่ยพจน์ที่ไม่ยอมให้จับกุมตัวดี ๆ ได้ตายไปซะแล้ว
รัชพลได้แต่นึกเวทนา ถ้าอีกฝ่ายยอมจำนนดี ๆ และไปชดใช้กรรมในคุกก็มีโอกาสได้เจอกับลูกชายและในอนาคตข้างหน้าก็ยังมีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่ ทำไมถึงได้คิดว่าแต่จะหนีไปเพื่อแก้แค้นคนที่ไม่ได้ทำอะไรให้ได้นะ
“อโหสิกรรมต่อกันเถอะนะเสี่ย ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากจะทำแบบนี้หรอก” เขาพึมพำก่อนจะหันกลับไปมองสถานการณ์ของพิชญะและนายตำรวจคนอื่น ผู้หมวดหนุ่มจัดการกับเจ้าของคมกระสุนที่ยิงมาเพื่อช่วยเหลือเสี่ยพจน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เหตุการณ์ในค่ำคืนนี้ในที่สุดก็จบลงพร้อม ๆ กับการจากไปของพ่อค้ายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายอื่น ๆ ที่หนีคดีมานานนับหกปี
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่รัชพลหลับไปเพียงสองชั่วโมง ชายหนุ่มลูบหน้าพลางสูดหายใจลึกขับไล่ความง่วงงุน หลังจากกลับมาที่ห้องทำงานของทีมเขาก็ทรุดหลับไปทั้งที่ยังไม่ถอดเสื้อเกราะกันกระสุนหรือเปลี่ยนชุดใด ๆ
วานนี้เป็นวันคืนที่เหน็ดเหนื่อยอย่างไรบอกไม่ถูก แต่เช้านี้ความเมื่อยล้ากลับหายไปเป็นปลิดทิ้ง อาจจะเพราะจบคดีที่ติดตามมากว่าหกปีได้แล้วกระมังตัวเขาจึงรู้สึกหายใจหายคอได้มากขึ้น
มือหนาสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหมายจะหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาส่งข้อความหาผู้เป็นแม่เหมือนทุก ๆ ครั้งที่ต้องเสี่ยงตายทว่าสิ่งที่อยู่ภายในกระเป๋ากลับทำให้ใบหน้าคมขมวดคิ้วเป็นปม
เขาหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาพลางคิดถึงก่อนจะออกไปทำงาน มันคือจดหมายที่เขาคิดว่าจะเปิดมันหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังทิ้งให้มันนอนอยู่ในกระเป๋ากางเกงจนเช้า
คิดไปถึงเจ้าของจดหมายคำพูดของเสี่ยพจน์ก็กลอกลับมาในความคิด เสี่ยพจน์บอกว่าไม่มีพ่อเลี้ยงภากรอีกต่อไปแล้วอย่างนั้นใช่มั้ย
มันเป็นความจริงหรือแค่การพูดยั่วยุให้สับสนกันนะ
รัชพลมองซองจดหมายอีกครั้งก่อนจะมองหากรรไกรหมายจะมาตัดของซองเพื่อเปิดดูภายในทว่าไม่ทันจะได้เอื้อมไปหยิบประตูห้องก็เปิดขึ้นเสียก่อน
“เมื่อคืนหนักหน่วงเลยนะรัชพล” เสียงที่ฟังดูใจเย็นและสุขุมเอ่ยทักทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้อง ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นทำความเคารพทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะนั่งลงข้าง ๆ
พันตำรวจเอกอติรุจมองผู้ใต้บังคับบัญชาฝีมือดีอย่างสังเกตก่อนจะส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายนั่งลงได้
“เมื่อคืนทำได้ดีมาก แม้ว่าจะมีการวิสามัญแต่ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้มองว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุ คดีนี้เหลือแค่ทำสำนวนคดีทุกอย่างก็ถือว่าจบ”
“ครับ จบสักที”
“โล่งอกไปทีนะที่จบสักที” ผู้บังคับบัญชาที่รู้จักลูกน้องดีกว่าใครเอ่ยถามพลางมองใบหน้าเหน็ดเหนื่อยที่ดูปลอดโปร่งขึ้นอย่างพอใจ
เกือบหกปีมานี้รัชพลตามติดคดีของเสี่ยพจน์ราบกับจะตามจองล้างจองพลาญแต่ใครจะรู้ว่าที่ใต้บังคับคนนี้พยายามอย่างหนักเพื่อตามล่าตัวเสี่ยพจน์ ทั้งยังคอยสืบข่าวและขัดขวางทางนั้นทุกทางก็เพื่อล่อเป้าความสนใจให้เสี่ยพจน์หันมาสนใจที่ตัวเองเพื่อไม่ให้ทางนั้นวกกลับไปแก้แค้นคนที่ช่วยเหลือครอบครัวของตนไว้รวมถึงไม่ให้หันไปเล่นงานคนในครอบครัวได้อีก
เรื่องที่รัชพลพบเจอมาตัวเขารับรู้มาโดยตลอดราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง ในวันนี้อีกฝ่ายก็สามารถปิดคดีนี้ได้ ตัวเขาเองก็พลอยโล่งใจไปด้วย...คราวนี้ก็มีแค่หนึ่งสิ่งที่รัชพลควรจะทำเพื่อให้รางวัลกับตัวเองกับความพยายามตลอดห้าปี
“ตอนนี้คดีเสี่ยพจน์จบแล้ว และไม่มีคดีร้ายแรงในช่วงเวลานี้แล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะกลับไปบ้าน หาพ่อแม่ และครอบครัว ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?”
“ถ้าท่านว่าดี ก็คงดีครับ”
“ไปชาร์จแบตที่บ้านเถอะ ไว้มีอะไรผมค่อยเรียกตัวแล้วกัน”
“ครับท่าน” ชายหนุ่มตอบรับก่อนจะลุกขึ้นทำความเคารพอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นเดินออกจากห้อง รัชพลจมอยู่กับความเงียบอีกครั้งพลางมองจดหมายที่ยังคงอยู่ในมือ
พ่อ แม่ น้องชาย น้องสาว เขาได้รู้ข่าวจากการติดต่อกันกับผู้เป็นแม่บ้าง แต่เจ้าของจดหมายนี่สิ เขากลับไม่เคยได้รับข่าวคราวใด ๆ เกี่ยวกับเธอเลยสักครั้ง
ลัลน์ลภัสไม่เคยติดต่อเขามาเลยสักครั้งนอกจากจดหมายที่อยู่ในมือเพียงฉบับเดียวเช่นเดียวกับที่ตัวเขาไม่เคยติดต่อหาเลย เราเหมือนไม่ใช่สามีภรรยาแต่เป็นคนแปลกหน้าไปเสียแล้ว...ใช่สิ เขาดันทิ้งจดหมายที่ทำร้ายจิตใจไว้แบบนั้นนี่นา
แล้ว...ถ้ากลับไปคราวนี้เขาจะทำอย่างไรในเรื่องของลัลน์ลภัส
หลายปีก่อนด้วยวุฒิภาวะที่ยังไม่มากพอเขาจึงคิดอ่านน้อยเกินไป คิดแค่ว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้คนที่ทำให้เขาพบเจอกับความรู้สึกจนมุมได้รู้สึกถึงความเจ็บใจของเขาบ้างบวกกับเรื่องความปลอดภัยของคนในไร่อิงตะวันที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขาและครอบครัวจึงได้ย้ายมาที่นี่เพื่อล่าตัวเสี่ยพจน์และล่อให้เสี่ยพจน์ละความสนใจจากทางนั้น
เขาเคยคิดว่าความคิดของตัวเองมันถูก แต่ตอนนี้ไม่ใช่
ถ้าเรื่องของพ่อเลี้ยงภากรเป็นความจริงก็เท่ากับว่าลัลน์ลภัสเพียงแค่อยากให้ผู้เป็นตาหมดห่วงและยังเด็กเกินไปจึงได้ตัดสินใจทำอะไรไปโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วนถึงผลลัพธ์
จะว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเธอก็ไม่ได้จะร้ายจะดีในค่ำคืนนั้นก็เป็นเขาเองที่หลุ่มหลงจนไม่ยับยั้งใจ อย่างไรเธอก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงของเขา...เขาจะชดเชยตลอดหลายปีนี้อย่างไรดีนะ
สมองของรัชพลทำงานอย่างนักจนรู้สึกปวด ชายหนุ่มวางจดหมายลงทันทีราวกับไม่ต้องการจะคิดอ่านเรื่องนี้ต่อ ในตอนนี้เขาควรจะเตรียมตัวกลับบ้านไปหาพ่อแม่เสียก่อนแล้วเรื่องของชีวิตแต่งงานค่อยคิดอีกที...
ใครคนนึงกำลังคิดจะกลับบ้านขณะเดียวกันใครอีกคนนึงเพิ่งจะตื่นจากค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ดวงตาชินชาลืมขึ้นมองที่ว่างบนเตียงขนาดกว้างอันคุ้นชินก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ค่ำคืนที่ผ่านมาหลายอย่างทำให้เธอคิดหนัก เช้านี้ตื่นมาจึงได้รู้สึกปวดหัวจนแทบไม่อยากลืมตา
หลังกลับจากห้องลูกสาวคนที่คิดว่าปลงตกกลับยังขบคิด เจ็บใจจริง ๆ ทั้งที่คิดว่าจะทำเพื่อลูกสาวแต่ลึก ๆ ก็ยังคิดว่าวันนึงเขาจะกลับมาด้วยตัวเอง
เจ็บใจจริง ๆ ที่ลึก ๆ เธอยังเฝ้ารอ
เจ็บปวดเหลือเกินที่ลึก ๆ ยังคงต้องยอมรับกับตัวเองว่ายังรัก
ทั้งที่บอกว่าไม่เป็นไร ไม่ได้รู้สึก ไม่ได้เสียใจ แต่เอาเข้าจริงเธอยังเฝ้ารอว่าสักวันเขาจะกลับมาโดยที่เธอไม่ต้องทำอะไร
ทำไมถึงได้ทำตัวเป็นเด็กแบบนี้นะลัลน์ลภัส เมื่อไหร่จะรู้ซึ้งสักทีว่าเขาไม่เคยรักและไม่ต้องการเธอ
ก๊อก ๆ ๆ
“แม่เลี้ยงคะนี่ป้ามาลีนะคะ ตื่นหรือยังคะ คุณโชคมารอแล้วค่ะ” เสียงเรียกจากหน้าประตูทำให้ลัลน์ลภัสต้องกลับมาเป็นแม่เลี้ยงคนเก่งอีกครั้ง หญิงสาวฝืนลืมตาอีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง เสียงอันคุ้นเคยของป้ามาลีคนเก่าคนแก่ที่ดูแลเธอมาตั้งแต่เด็กเรียกซ้ำอีกครั้งก่อนที่หญิงสาวจะตอบกลับไปในที่สุด
“บอกเขาให้รอหน่อยนะคะป้ามาลี หนูเพิ่งตื่น”
“แม่เลี้ยงไม่สบายหรือเปล่าคะ น้ำเสียงไม่ค่อยดีเลย ให้คุณโชคกลับไปก่อนดีมั้ยคะ” เพียงแค่ได้ยินเสียงป้ามาลีก็จับสังเกตได้ว่าไม่ปกติ หญิงวัยกลางคนถามทันทีด้วยความห่วงใย ความห่วงใยของป้ามาลีทำให้ลัลน์ลภัสหลุดยิ้ม เธอเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก มีป้ามาลีนี่แหละที่ช่วยคุณตากับคุณยายเลี้ยงมาโดยตลอด ท่านเป็นคนที่รักเธอจริง ๆ และรักและห่วงใยมาโดนตลอด
มีคนที่รักเธอมากมาย เธอควรเลิกทำให้ตัวเองทุกข์ใจเสียที คนเหล่านี้จะได้เลิกห่วง
“หนูไม่เป็นอะไรค่ะป้ามาลี เพียงแค่เพิ่งตื่นเท่านั้น ไปบอกคุณโชคให้รอเถอะค่ะ อีกเดี๋ยวหนูออกไป”
“ถ้างั้นป้าจะไปบอกให้รอก่อนนะคะ” มาลีรับคำอย่างว่าง่ายก่อนที่เสียงด้านนอกจะเงียบลง เลี้ยงกันมาแต่อ้อนแต่ออกมาลีรู้ดีว่าคำว่าไม่เป็นอะไรของแม่เลี้ยงของไร่ไม่ได้พูดออกมาตามความจริง แต่ก็ยังแกล้งไม่รู้ ในเมื่อเจ้านายบอกว่าไม่เป็นไรก็เท่ากับไม่อยากยอมรับ เธอก็ทำได้เพียงมองอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ วันไหนที่อีกฝ่ายต้องการการปลุกปลอบก็จะแสดงออกเอง จะไปรู้ดีเกินงามก็ไม่ได้มันทำให้แม่เลี้ยงรู้สึกไม่ดีเสียเปล่า ๆ
หญิงสาวลุกไปอาบน้ำทันทีที่เสียงจากด้านนอกเงียบลง โชคชัยทนายที่ดูแลเรื่องต่างๆ ของครอบครัวมาแล้วเรื่องที่เธอคิดมันกำลังจะไม่ใช่แค่ความคิดอีกต่อไป...การหย่าร้างกำลังจะเกิดขึ้น
ความจริงลัลน์ลภัสอยากจะให้ผ่านวันเกิดของเด็กหญิงพิมพ์รตาที่จะมาถึงในอีกไม่ถึงเดือนข้างหน้าค่อยคุยเรื่องนี้กับปู่และย่าของลูกสาว แต่หลังจากที่คุยกับคุณยายเมื่อคืนเธอก็ต้องเปลี่ยนความคิด รัชนีญารู้แล้วและคงจะบอกพ่อกับแม่อย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องรอ อีกอย่างถ้าทุกอย่างจบลงเร็วการได้เจอกันของเด็กหญิงพิมพ์รตากับผู้เป็นพ่อก็จะเกิดขึ้นเร็วเช่นกัน
ถ้าจบทุกอย่างตั้งแต่ตอนนี้เขาอาจจะมารู้เรื่องลูกก่อนจะถึงวันคล้ายวันเกิดของยัยหนูก็ได้...จบซะ มันดีแล้ว
