ตอนที่6 เปลี่ยนเป็นคนละคน
พราวจันทร์นั่งไม่ค่อยติด เมื่อยังไม่เห็นมีคนมาเสียทีเธอจึงลุกขึ้นเดินไปเกาะอยู่ที่กำแพงกระจกมองดูวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองใหญ่ คราแรกคิดว่าจะทำให้เธอหายจากอาการประหม่าแต่ดันลืมไปว่าตัวเองนั้นกลัวความสูง ตอนนี้จึงยืนตัวเกร็งขาแข็งก้าวไม่ออก
“คุณพราวครับ”
พราวจันทร์ค่อยๆ หันหลังกลับมามองคนที่ส่งเสียงเรียก
“ขะ...คะ” พราวจันทร์หันมาสบตากับตะวันวาดได้ ชายหนุ่มก็ยืนตัวเกร็งไม่คิดไม่ฝันว่าสาวแว่นเฉิ่มเชยที่เขาเห็นเมื่อเช้าจะกลายเป็นนางฟ้ามายืนอยู่ตรงหน้าของเขาได้ ทั้งชุดที่ขับผิวของเธอให้ดูผุดผ่อง และเดรสพอดีตัวของเธอก็ยิ่งทำให้เขาเห็นว่าสาวสาวตรวหน้าซ่อนรูปแค่ไหน เห็นทีต้องปรับทัศนคติการมองหญิงสาวใหม่แล้ว
“เอ่อ...ท่านประธานคะ” สาวเจ้าที่กำลังต้องการคนช่วยเหลือรีบเรียกประธานหนุ่มเสียงสั่น
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ตะวันวาดหลุดจากภวังค์ได้ก็เริ่มเดินปรี่เข้ามาหาพราวจันทร์ที่ยืนหน้าเจื่อนอยู่ไม่ไกล
“พราวว่าจะเดินมาชมวิว แต่ลืมไปว่าตัวเองกลัวความสูงค่ะ” พราวจันทร์คว้าหมับไปที่ข้อมือของตะวันวาดอย่างถือวิสาสะ เมื่อหาที่ยึดเหนี่ยวได้จึงค่อยผ่อนลมหายใจลงได้บ้าง
“แล้วตอนเดินมาไม่กลัวเหรอครับ” เขาเอ่ยถามขณะช่วยจูงมือหญิงสาวเดินกลับมานั่งที่โต๊ะรับประทานอาหาร
“ก็ตอนเดินกินลมชมววิวมันไม่ได้สนใจนี่คะ แต่พอมองลงไปยังวิวด้านล่างขามันก็เริ่มแข็งค่ะ” พราวจันทร์เอ่ยพูดไปตามตรง ก็อีตอนที่เธอกำลังเดินเล่นสมองมันกำลังกังวลว่าเมื่อไหร่จะมีใครมา มาได้สติจริงๆ อีกทีก็ตอนที่สายตามองทอดไปยังด้านล่างของตึกสูงนี้แล้ว
“คุณพราวนี่ก็จริงๆ เลยนะครับ” ตะวันวาดขำในลำคอเล็กน้อยให้กับความโก๊ะของพราวจันทร์ หากเขาขึ้นมาช้ากว่านี้เชื่อได้เลยว่าเธอได้ยืนขาแข็งอยู่ที่กำแพงกระจกไม่ขยับไปไหนแน่นอน
“ท่านประธานจะขำพราวก็ไม่แปลกหรอกค่ะ” พราวจันทร์นั่งปากคว่ำบุ้ยปากจนคางเกิดรอยย่น
“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ อ่อ...แล้วต่อไปนี้ก็ไม่ต้องเรียกผมว่าท่านประธานแล้วนะครับ เรียกผมว่าตะวันก็พอ”
“คุณ...ตะวันให้พนักงานเรียกแบบนี้ทุกคนเลยเหรอคะ” ดวงตากลมโตที่ปราศจากแว่นหนามองจ้องหน้าของตะวันวาดจริงจัง เป็นครั้งแรกที่ประธานหนุ่มรู้สึกประหม่ากับการที่ต้องมาปะทะสายตากับหญิงสาวที่เขามองเธอว่าจืดชืด ต่อไปนี้ดูท่าเขาจะประมาทกับเสน่ห์ของสาวน้อยคนนี้ไม่ได้เสียแล้ว
“ครับ ก็ดูเป็นกันเองดี คุณพราวไม่ชอบเหรอครับ”
“ชอบสิค่ะ แล้วคนอื่นๆ ในบริษัทล่ะคะ พวกเค้าไปอยู่ไหนกันหมดเหรอคะ” ใบหน้าหวานหันหลังมองไปยังหน้าลิฟท์
“คืนนี้ไม่มีใครมาแล้วครับ ในบริษัทผมมีแค่คุณพราวเป็นพนักงานใหม่แค่คนเดียวครับ”
“อ้าวเหรอคะ พราวคิดว่าจะมีคนอื่นมาด้วยซะอีก”
“คุณพราวไม่ชอบเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ แค่คิดว่าจะมีคนอื่นมาด้วยเท่านั้น อ่อ...พราวขอบคุณสำหรับของที่ส่งไปให้พราวนะคะ” พราวจันทร์เริ่มรู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องนั่งอยู่กับประธานหนุ่มสองต่อสอง ครั้นจะพูดความจริงว่ารู้สึกอย่างไรก็กลัวจะเสียมารยาท จึงเลือกที่จะหาเรื่องอื่นคุยกับท่านประธานหนุ่มไปเรื่อย
“ครับ ผมว่ามันเข้ากับคุณพราวมากๆ แถมตอนคุณพราวไม่ได้ใส่แว่นก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนจนผมแทบจำไม่ได้เลยครับ”
“น้าของพราวก็บอกแบบนั้นเหมือนกันค่ะ อีกอย่างที่พราวอยากจะถามคุณตะวันค่ะ”
“อะไรเหรอครับ” ตะวันวาดนั่งตัวตรงเตรียมฟังคำถามของหญิงสาวอย่างตั้งใจ ภาวนาให้เธอไม่ถามคำถามอะไรที่เขาไม่อยากจะตอบ
“ของที่คุณตะวันส่งไปให้พราว ไม่ว่าจะเป็นชุด กระเป๋ารองเท้าแล้วก็พวกเครื่องประดับ กับอาหารตรงหน้า เอ่อ...คุณตะวันไม่ได้เอาราคาของพวกมันมาหักเงินของพราวทีหลังใช่ไหมคะ”
ตะวันวาดเริ่มแสยะยิ้มก่อนจะยกมือป้องปาก เป็นอีกครั้งที่คำพูดคำจาของเธอทำเขารู้สึกขบขันได้อีกรอบ
“เปล่าครับ ให้แล้วให้เลยไม่มีมาหักเงินทีหลังครับ”
“อ่อ...ค่อยโล่งอก” คราวนี้พราวจันทร์พอจะยิ้มออกมาจากหัวใจได้เสียที เพราะเรื่องเงินเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอเลยในตอนนี้
“สบายใจแล้วใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
“งั้นเรามาเริ่มมื้อเย็นกันเลยดีกว่าครับ ลองชิมสเต็กเนื้อนี่สิครับ นุ่มละลายในปากเลยนะครับ” ตะวันวาดค่อยๆ บรรจงหั่นสเต็กเนื้อวางลงในจานของพราวจันทร์
“ขอบคุณค่ะ” สาวเจ้าได้ลิ้มลองสเต็กเนื้อราคาแพงครั้งแรกก็รู้สึกได้ถึงความอร่อยที่เธอไม่เคยได้สัมผัส เพราะเนื้อที่อยู่ในปากของเธอแทบจะไม่ต้องเคี้ยวก็ละลายหายลงคอไปเรียบร้อยแล้ว ลืมเนื้อย่างไม้ละยี่สิบบาทที่หน้าปากซอยบ้านเธอไปได้เลย
“ถ้าอยากลองอย่างอื่นเพิ่มก็จิบไวน์ล้างปากก่อนนะครับ จะได้ลิ้มรสความอร่อยของอาหารได้เต็มที่”
พราวจันทร์ที่กำลังเอร็ดอร่อยกับสเต็กเนื้อพยักหน้าหงึกๆ เมื่ออาหารที่อยู่ในปากหมดไปเธอก็หยิบแก้วไวน์ที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาลองดื่ม และแล้วไวน์แดงแก้วนี้ก็ทำให้พราวจันทร์เริ่มหลงไหลกับรสสัมผัสของมันไปได้โดยง่าย
มื้ออาหารมื้อนี้พราวจันทร์จึงเลือกที่จะดื่มไวน์เสียส่วนใหญ่ ซึ่งก็เป็นไปตามความต้องการของตะวันวาด
เขายกยิ้มเจ้าเล่ห์ทุกครั้งที่เห็นหญิงสาวดื่มหนักขึ้น เพราะพอจะมองออกว่าพราวจันทร์กำลังเมาแต่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเมา ด้วยกำลังหลงไหลอยู่กับรสสัมผัสของไวน์ราคาแพงแสนละมุนลิ้นที่เขาสั่งมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ
เวลาผ่านไปร่วมสามชั่วโมง และแล้วก็มาถึงเวลาที่ตะวันวาดรอคอย เขาถอดสูทตัวนอกออกพาดวางไว้กับพนักพิงเก้าอี้และแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตคลายความอึดอัด ก่อนจะลุกขึ้นยืนเท้าเอวมองหญิงสาวที่คอพับคออ่อนฟุบไปกับโต๊ะรับประทานอาหาร
“หึ่...” เขากรอกลิ้นไปกระพุ้งแก้ม จ้องมองคนตัวเล็กราวกับเธอเป็นอาหารอันแสนโอชาและรวบอุ้มสาวเจ้าพาดบ่าลงลิฟท์ไปยังห้องสวีทสุดหรูที่เขาได้เปิดเอาไว้
ตะวันวาดแบกคนตัวเล็กก้าวเท้ายาวด้วยความเร่งรีบไปยังห้องนอนใหญ่ เขาวางเธอให้นอนราบไปกับเตียงนุ่ม จากนั้นเขาก็นอนตะแคงยกมือชันหัวอยู่ข้างพราวจันทร์ไม่ห่าง ทั้งจ้องมองใบหน้าหวานไม่วางสายตา
ผมของเธอที่เกล้ามัดสูงตั้งแต่แรกกระจายแผ่ออกเมื่อหัวถึงหมอนบวกกับใบหน้าที่กำลังแดงก่ำด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ยิ่งทำให้พราวจันทร์น่าดึงดูดสำหรับตะวันวาดเพิ่มไปอีกเท่าตัว
“สวยสะกดคนได้เหมือนกันนะคุณเนี่ย” มือหนายกลูบไล้ปลายจมูกมนของหญิงสาวเล่น คนที่รู้ตัวว่าถูกกวนเริ่มยกมือไม้ปัดไปมาจากนั้นก็เริ่มสะลึมสะลือค่อยๆ เปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้น เมื่อสายตาพอจะมองเห็นว่าใครกำลังยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เธอก็รีบยกมือเรียวผลักออก
