บทที่ 3
ความอึดอัดระหว่างทั้งคู่ดูมลายหายไปทันที จากที่อังศุมาลินดูค่อนข้างถือตัวเธอผ่อนคลายมากขึ้น แต่ยังมีระยะห่างระหว่างเขาอยู่พอสมควร เธอยิ้มหัวเราะในสิ่งที่เขาพูด ตอนแรกไม่มีเรื่องอะไรจะพูดกลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งคู่นั่งคุยกันเพลินเสียจนลืมเวลา
“อุ๊ย! อังเลยเวลาไปเลยค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” เมื่อมองไปที่ฟ้าที่ตอนนี้เริ่มมืดบ้างแล้วก็ร้องออกมาอย่างตกใจเพราะลืมว่าตนมีนัดกับภูเบศ
“หกโมงยี่สิบแล้วครับ” เขาพลิกนาฬิกาข้อมือเรือนหรูดูให้เธอ “ทำไมเหรอครับ” ท่าทีรีบร้อนของเธอทำให้เขาสงสัยว่าเธอมีนัดกับใครหรือเปล่านะ
“อังนัดเพื่อนไว้น่ะค่ะ ว่าจะไปเที่ยวงานวัดใกล้ๆนี่” เธอบอกพลางลุกขึ้น “อังขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบร่างบางก็หายเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้เขานั่งแกร่วอยู่คนเดียว
เพื่อนที่เธอบอกเขาคงไม่ใช่ใครที่ไหน คงจะเป็นไอ้ลูกสส.ที่อยากจะงาบเธอเหมือนกัน ทำไมเขาจะเดาไม่ออก ผู้ชายมองผู้ชายด้วยกันย่อมรู้ดี มันเองก็มองเขาออก ส่วนเขาเองก็มองมันออกเช่นกัน ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ชัดๆ
จากการพูดคุยกับเธอมาราวๆชั่วโมงครึ่งได้ทำให้เขารู้ว่าอังศุมาลินเป็นคนมีเสน่ห์พอตัว เธอน่ารัก สดใส และพูดเก่งทีเดียว แต่หญิงสาวจะค่อนข้างถือตัวและรักษาระยะห่างไว้พอสมควร ทำให้เขาพอจะได้รู้แนวของหล่อนพอสมควร
“ไอ้เวย์ นั่งทำห่าไรวะ ให้ยุงหามเล่นเหรอ” อัครวุฒิยืนพิงกรอบประตูมองเพื่อนรักที่นั่งทอดอารมณ์มองฟ้าอยู่คนเดียว
“จะกลับแล้วเหรอ” เขาถาม
“เปล่า ตาเขาชวนเราสองคนตั้งวงเหล้าเว้ย”
“เอาดิ” เขาตอบตกลงและลุกไปหาคนเพื่อนที่ประตูและพากันเข้าไปในตัวบ้าน
อังศุมาลินก้าวลงจากชั้นบนในเวลาเฉียดๆหนึ่งทุ่มพอดิบพอดี หญิงสาวสวมเสื้อยืดสีดำตามสไตล์ สวมทับด้วยเสื้อคลุมอีกชั้นหนึ่งและสวมกางเกงยีนส์ขาสั้นเหนือเข่านิดหน่อย
“แต่งตัวซะสวยจะไปไหนล่ะนั่น” ตาเอี่ยมร้องทักหลานสาว ลืมไปว่าเมื่อกลางเพื่อนหลานนั้นมาชวนไปเที่ยวด้วย
“ไปงานวัดจ้ะตา อังไปแป๊บเดียว ภาคชวนไปเดี๋ยวอังซื้อขนมมาฝากนะจ๊ะ” หล่อนบอกพลางเดินเข้ามาหา
“นี่อะไรกันจ๊ะ เอาแก้วมาทำอะไรเยอะแยะ” ถามขึ้นเมื่อเห็นแก้วเปล่าที่ใช้เวลาสังสรรค์วางเต็มโต๊ะกินข้าวไปหมด
“วันนี้ตาว่าจะดื่มสักหน่อย นานๆทีจะเจอคนรุ่นหลานคุยถูกคอ” ชายชรายอมรับเลยว่าชอบสองหนุ่มเป็นอย่างมาก ชายชราเจออัครวุฒิหลายคราแต่ติดต่อผ่านปลัดธนกรเสียส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยได้พูดคุยกันจริงจัง
เพิ่งจะมีวันนี้นี่แหละที่เป็นวันแรกที่พูดคุยจริงจัง แล้วก็คุยกันถูกคอกันทั้งสองหนุ่ม ถึงแม้พ่อหนุ่มกรุงจะดูไฮโซโก้หรูแต่ไม่ถือตัวสักนิด แถมพูดจาดี มารยาทงามเสียด้วย
จากตอนแรกห่อเหี่ยวใจที่ต้องขายที่ดินแต่ตอนนี้ความรู้สึกแบบนั้นกลับไม่มีอีกแล้ว
“แล้วเขาไปไหนกันจ๊ะ”
“ไปซื้อเหล้าร้านกับกลับแกล้มที่ร้านนังแจ๋วอยู่ วันนี้คงอยู่ดื่มกันดึก เจอกลับแกล้มอะไรที่นั่นก็ซื้อมาฝากตาด้วยล่ะ”
“จ้ะ งั้นอังไปก่อนนะจ๊ะ”
“มีตังไปหรือเปล่าล่ะ มาเอานี่มา” ทำท่าจะควักเงินให้แต่คนเป็นหลานปฏิเสธ
“อังมีจ้ะ อังไปก่อนนะจ๊ะ” เดินออกไปที่ประตูกน้าบ้านก็พบภูเบศจอดจักรยานยนต์รอตนอยู่แล้วจึงเดินไปหา ประจวบกับเวทิศและอัครวุฒิปั่นจักรยานที่เธอใช้เมื่อตอนสาย แล่นมาตามถนนพอดิบพอดี โดยเวทิศเป็นคนซ้อนและหิ้วของทั้งหมด
“อ้าว นั่นคุณอังจะเที่ยวล่ะครับ แต่งตัวซะสวยเชียว” อัครวุฒิเป็นคนทักหญิงสาว
“ไปงานวัดค่ะ” เธอตอบ “อังไปก่อนนะคะ” พร้อมทั้งก้าวขึ้นคร่อมรถของเพื่อนชาย
ภูเบศหันไปยิ้มเยาะและยักคิ้วให้เวทิศที่ซ้อนจักรยานผ่านหลังเข้าตัวบ้านไป เป็นเชิงบอกว่าเขาชนะเพราะอังศุมาลินยอมออกไปข้างนอกกับเขา
ภูเบศและอังศุมาลินมาถึงงานวัดในตอนเกือบๆสองทุ่ม ชายหนุ่มวนหาที่จอดรถไม่นานก็เจอที่จอด ทั้งสองพากันเดินเข้าไปในงานท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมา อาจเป็นเพราะภูเบศเป็นที่รู้จักของคนส่วนมากอยู่แล้วจึงถูกจับตามองเป็นพิเศษ แต่เธอชินเสียแล้วเพราะมันมักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอ
“ที่นี่มีของโปรดอังขายด้วยนะ”
“อะไรเหรอ”
“นั่นไง ข้าวเกรียบว่าว” เขาชี้ไปที่ร้านหนึ่งซึ่งกำลังปิ้งข้าวเกรียบว่าวอยู่พอดิบพอดี
“ยังจำได้อยู่อีกหรอ จำได้ว่าไม่ได้พูดถึงมานานมากแล้ว”
“จำได้ดิ อังชอบอะไรภาคจำได้หมดแหละ” เขาหันไปสบตาเธอคล้ายบอกความนัย “เดี๋ยวภาคซื้อให้” เขาเดินไปสั่งและควักเงินจ่ายเสร็จสรรพ ก่อนจะรับถุงข้าวเกรียบว่าวขนาดใหญ่ยื่นให้กับเธอ
“ไม่ต้องเลย เอาเงินไป” เธอพยายามยัดเงินใส่มือเขาแต่เขาหลบ
“แค่ยี่สิบบาท จะเครียดทำไม”
“เราไม่อยากให้ใครนินทาว่าเราเกาะภาคกิน”
“ไอ้หน้าไหนที่มันพูด ภาคจะไปจัดการให้”
“เราไม่ต้องการ เอาเงินไปก่อนที่เราจะโกรธ” ภูเบศจำต้องยอมรับเงินจากหญิงสาวเพราะกลัวโดนโกรธอย่างที่เธอบอก
ผลัดกันหักข้าวเกรียบว่าวและหยิบขึ้นมาคนละสี่ห้าครั้งก็หมดถุง รู้ตัวอีกทีก็เดินรอบตลาดเสียแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้กับแกล้มไปฝากตาเอี่ยม
“จะซื้ออะไรเป็นกับแกล้มให้ตาดี” หันไปถามคนข้างๆ
“กับข้าวดีป่ะ”
“อื้ม ภาคช่วยเลือกให้เราหน่อย ภาคดื่มเหล้าบ่อยนี่”
“ก็ไม่นี่” เขารีบปฏิเสธ เขาไม่ได้ดื่มบ่อยสักหน่อย แค่เดือนละยี่สิบกว่าครั้งเท่านั้นเอง “ใครบอก”
“แหม พ่อคนคอทองแดง อย่าคิดว่าเราไม่รู้นะ ระวังเถอะดื่มมากๆจะตับแข็งตาย” หล่อนว่าเข้าให้
“บ่นเป็นแม่เลยนะ” ภูเบศมองหน้าอังศุมาลินด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา “สนใจจะมาเป็นแม่ไหมละ แม่ของลูกน่ะ” เขาพูดทีเล่นทีจริง จะบอกว่าพูดจริงก็ได้
“เลิกพูดไร้สาระสักที มันจะทำให้เราอึดอัดกันเปล่าๆ เราว่าเราเคยคุยเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้วนะ” เธอเบนหน้าหนี
“ทำไม ภาคไม่ดีตรงไหน อังบอกดิ ภาคจะปรับปรุงตัว”
“อังก็รู้ว่าภาครักอังมานานขนาดไหน ทำไมไม่คิดจะมองกันบ้าง” ชายหนุ่มตัดพ้อกับหญิงสาวตรงหน้า
“ถ้าภาคยังเอาแต่พูดแบบนี้ เราจะกลับแล้วนะ” เพราะคำขู่ของเธอทำให้เขาต้องสงบปากสงบคำลงทันที เขาไม่อยากได้ความเป็นเพื่อนจากเธอ แต่ก็ไม่อยากให้เธอหายไปจากชีวิตเขาด้วยเหตุผลงี่เง่าๆเพียงเพราะว่าเธอไม่รักเขาและอึดอัดที่จะอยู่กับเขา
รักของเขาเป็นรักข้างเดียวมาตลอด เขาแอบชอบอังศุมาลินตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อนมาก่อน ทั้งๆที่เขาพยายามจะสานต่อมากกว่านั้นหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ถูกปฏิเสธทุกรอบ
ในชีวิตเขามีผู้หญิงที่อยากได้เขาเป็นคนรักมากมาย เพราะหน้าตาหล่อเหลาบวกกับฐานะทางบ้านดีมากระดับหนึ่ง เขาก็มีบ้างที่เล่นด้วยแต่ไม่เคยจริงจังกับใคร เพราะเขารอหญิงสาวเพียงคนเดียวในใจ
จนกระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเขาก็ตามไปเรียนที่เดียวกับหล่อน เพียงแต่เรียนคนละคณะเท่านั้นเอง แต่เขาก็ยังเทียวไล้เทียวขื่อหาหญิงสาวอยู่บ่อยๆ และคอยกันท่าพวกที่เข้ามาจีบเธอ
แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่เคยมองเขาเกินเลยไปมากกว่าเพื่อนสักนิด จนทนความอึดอัดใจไว้ไม่ไหว สารภาพออกไปแต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างรักษาน้ำใจ
‘เราเป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้วภาค เราไม่คู่ควรกับภาคหรอก’
ถึงแม้เธอจะพูดแบบนั้นแต่เขาก็ยังรั้นไม่ยอมฟังและยังหมั่นทำดีอยู่สม่ำเสมอจนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรี ภูเบศตัดสินใจขอคบหญิงสาวอีกครั้งและครั้งนี้ก็เกิดเหตุการณ์เดียวกับครั้งที่แล้วคือเขาโดนปฏิเสธ แต่ด้วยเหตุผลที่เขาเองก็เจ็บพอสมควร
‘เราไม่เคยคิดกับภาคเกินเลยไปกว่าเพื่อน เราขอโทษที่รับความรู้สึกภาคไม่ได้จริงๆ ภาคดีกับเรามาตลอด แต่เรารักภาคแบบเพื่อน’
แม้จะได้ยินแบบนั้นแต่เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเธอต้องใจอ่อน น้ำหยดลงหินทุกวันยังกร่อนแล้วใจเธอล่ะ ทำไมจะหวั่นไหวกับสิ่งที่เขาทำให้เธอมาตลอดไม่ได้ จะนานแค่ไหนเขาก็จะรอรักจากเธอ รักในฐานะคนรัก ไม่ใช่เพื่อนคนหนึ่ง
ภูเบศจอดจักรยานยนต์ที่หน้ารั้วเล็กๆซึ่งเป็นจุดหมายคือบ้านของหญิงสาวที่ซ้อนอยู่ทางด้านหลัง อังศุมาลินก้าวลงมาเงียบๆ จากที่มีปากเสียงกันเล็กน้อยที่งานวัดทำให้บรรยากาศมันอึมครึม ชวนให้หมดสนุกไปเสียดื้อๆ
เมื่อหาซื้อกับแกล้มให้ตาเอี่ยมได้แล้วจึงร้องอยากกลับ ภูเบศเองก็ไม่ขัดพาเธอมาส่งที่บ้านทันที เขาเองก็อยากกลับไปเมาย้อมใจที่บ้านเช่นกัน หลังจากโดนปฏิเสธรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่คนอย่างเขามันก็เจ็บไม่จำอยู่ดี
“ขอบใจนะที่พาเราไปเที่ยว กลับบ้านดีๆล่ะ” เมื่อก้าวลงจากรถเสร็จก็มายืนข้างๆเพื่อนหนุ่มและเอ่ยลา
“อื้ม อังเข้าบ้านเหอะ ภาคจะไปแล้ว” ชายหนุ่มตอบนิ่งๆ และออกตัวด้วยความเร็วตามอารมณ์ที่ปะทุอยู่ในอก
มองจนกระทั่งตัวรถและเสียงท่อลับหายไปจึงเดินเข้าบ้าน เธอรู้ดีว่าภูเบศโกรธและไม่พอใจ แต่เธอทำอะไรไม่ได้ เธอไม่ได้รักเขามากกว่าเพื่อนเลยสักนิด ปฏิเสธไปตามตรงดีกว่าทำตัวครึ่งๆกลางๆ รังแต่จะให้ความหวังเพื่อนไปเปล่าๆ
เมื่อก้าวเข้ามาในตัวบ้านก็ได้ยินเสียงสามหนุ่มพูดคุยกันเช่นเดียวกับเมื่อบ่าย จะต่างออกไปก็ตรงที่เสียงอ้อแอ้ของทั้งสาม
“นังหนู กลับมาแล้วเหรอ ได้กับแกล้มอะไรมาให้ตาล่ะ” ตาเอี่ยมถามหลานสาวเมื่อเห็นหลานเดินผ่าน
“ผัดเผ็ดไก่ หอยแมลงภู่นึ่งแล้วก็คอหมูย่างจ้ะ” หญิงสาวชูให้ดู “ให้ใส่จานเลยไหมจ๊ะ”
“เออๆ ดีๆใส่จานมาเลยลูก”
เวทิศมองหญิงสาวด้วยสายตานิ่งๆแต่ไม่วางตา ในใจจินตนาการไปไกลพอสมควร อังศุมาลินแต่งตัวแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ
หญิงสาวที่ถูกมองหน้าแดงระเรื่อขึ้นมานิดหนึ่งเพราะสายตาคมที่จ้องมานั้นมองเธอชนิดที่ว่าตาไม่กระพริบเลยทีเดียว เธอจึงขอตัวหลบไปด้านหลังครัวเพื่อจัดกับแกล้มใส่จานและหลีกหนีสายตาคมที่แสนแพรวพราวนั่นเสียด้วย
ร่างบางยกจานกับแกล้มมาเสิร์ฟครบสามเมนูเสร็จก็ขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าเพราะเห็นว่าดึกพอควรแล้ว พรุ่งนี้เธอต้องตื่นมาทำขนมแต่เช้าเพื่อไปขายให้ทันตลาดนัดช่วงเช้า
เพราะเสียงพูดคุยที่เงียบไปทำให้เธอสงสัยและลงมาดูก็พบว่าตาเอี่ยมเมาแอ๋ฟุบลงไปกับโต๊ะ รวมทั้งอัครวุฒิด้วย เหลือเพียงแค่เวทิศนั่งหันหลังคุยโทรศัพท์อยู่เพียงคนเดียวจึงไม่รู้ว่าเธออยู่ด้านหลังเขา
“อืม พี่อยู่ต่างจังหวัด มาคุมงานสร้างโฮมสเตย์ ผิงพักผ่อนเถอะ ตั้งใจเรียนนะอีกสามเดือนเจอกัน อย่าลืมของฝากด้วยล่ะ โอเคๆ แค่นี้แหละ บาย” เมื่อหันมาพบอังศุมาลินยืนอยู่ก็ตกใจ
“อังมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ถามขึ้นเพราะกลัวหญิงสาวได้ยินที่เขาคุยโทรศัพท์กับภควดี
“ซักพักแล้วค่ะ พอดีอังจะพาตาขึ้นไปนอนบนบ้าน แต่อุ้มขึ้นไปไม่ไหว คุณช่วยอังหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ” เขารีบตอบตกลงทันที
