บทที่ 5
แม้ลึกๆ จะไว้ใจและเชื่อใจปราณว่าชายหนุ่มไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนสนิทของลูกอย่างเกวลินแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นดาวฉายก็อดที่จะระแวงไม่ได้ เพราะถ้าเลือกได้เธอก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหนเกินความจำเป็น
แต่จะให้เธอหอบผ้าหอบผ่อนเข้าไปอยู่บ้านปราณก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ ยังไงเธอก็มีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเอง ครอบครัวก็พอมีหน้ามีตาในแวดวงสังคมอยู่บ้างเกิดมีคนรู้เรื่องนี้เข้าเธอก็คงถูกเมาท์ไม่จบไม่สิ้น อดทนรอให้ผ่านพ้นวันแต่งงานไปเสียก่อนอะไรที่เธอควรจะได้เธอต้องได้
หวังว่ายัยเด็กเกวลินจะไม่แรดเงียบใช้กลอุบายทำให้ปราณตกหลุมพรางความสาวความสวยของตัวเองจนทอดทิ้งเธอหรอกนะ เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมาจริงๆ เธอไม่เอาไว้แน่ ส่วนปราณเองก็หมดข้ออ้างที่จะบินไปทำงานต่างประเทศเพราะเขาพึ่งบินไปมาเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง จึงไม่อาจหยิบมาเป็นข้ออ้างได้อีก
“คุณอาจะออกไปทำงานแล้วหรือคะ” เสียงของ เกวลินที่ทักขึ้นทำให้ปราณชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันมองมายังเจ้าของเสียงที่นับวันจะยิ่งทำให้ใจเขาสั่นแปลกๆ เขาก็อายุปูนนี้แล้วทำไมถึงมาหวั่นไหวกับรอยยิ้มกับรูปร่างหน้าตาของเด็กสาวคราวลูกได้กัน อีกอย่างถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเขาเองก็จะต้องแต่งงานกับดาวฉาย
“อืม…ตื่นแต่เช้าเชียว”
“หนูช่วยถือกระเป๋าไหมคะ” เกวลินยื่นมือไปหวังจะช่วยปราณถือกระเป๋า เมื่อครู่เธอไม่คิดว่าพอเปิดประตูห้องออกมาแล้วจะเจอกับเขาเข้า พอเจอกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็ต้องหาเรื่องคุยจะได้ไม่ทำให้บรรยากาศมันอึดอัด ทั้งๆ ที่ใจเธอก็เต้นโครมครามเพราะความประหม่ามากก็ตาม
“ไม่เป็นไร อาถือเองได้” นั่นคือสรรพนามที่ปราณใช้ขณะพูดคุยกับเกวลิน
“ค่ะ”
“ได้งานทำหรือยัง” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
“ยังค่ะ อยู่ในขั้นตอนรอผลสัมภาษณ์”
“รอผลกี่บริษัท” แม้ประโยคคำถามจะธรรมดาทั่วๆ ไป ทว่านี่คือการพูดคุยกันตามลำพังที่มีมากกว่าหนึ่งประโยคของทั้งคู่
“สามค่ะ”
“ถ้ารอผลนานเกินไปก็บอก อาจะได้หาตำแหน่งที่เหมาะในบริษัทให้”
“ขอบคุณค่ะ แต่ถ้าหนูเข้าไปทำงานด้วยการเป็นเด็กฝากคนอื่นๆ คงไม่สบายใจแย่ เอาเป็นว่าหนูขอพยายามด้วยตัวเองก่อนนะคะ” คำตอบที่ได้จากเกวลินทำให้ปราณเผลอยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ ไม่เหมือนคนรู้จักของเขาบางคนที่พยายามยัดเยียดลูกหลานตัวเองให้เข้ามาทำงานที่บริษัทโดยไม่สนใจคุณสมบัติหรือความเหมาะสมอะไรทั้งนั้น จนเขาต้องสั่งห้ามแต่เมื่อครู่เขากลับเสนอให้เกวลินไปทำงานด้วย เฮ้อ…นี่เขาเป็นอะไรกันแน่
“ก็จริง” เอ่ยบอกเสร็จปราณก็ยิ้มให้เกวลินเล็กน้อยก่อนจะเดินตรงไปยังบันได จังหวะที่กำลังจะเดินผ่าน เกวลินเธอก็เอ่ยถามเขาขึ้น
“เย็นนี้คุณอาจะกลับมากินข้าวที่บ้านไหมคะ”
“ไม่แน่ใจ ทำไมเหรอ” หนุ่มใหญ่เอ่ยถามพร้อมสบตาเกวลินอย่างตรงไปตรงมา แววตาของเขาที่ส่งมานั้นแม้จะไม่มีอะไรแอบแฝงทว่าก็ยังทำให้เกวลินประหม่า
“ที่เบลถามเพราะวันนี้เราจะเข้าครัวกันนะคะคุณพ่อ เผื่อคุณพ่ออยากกินอะไรเป็นพิเศษ” เสียงของ ครองขวัญดังขึ้นจากในห้องก่อนที่เจ้าตัวซึ่งเวลานี้ยังอยู่ชุดนอนจะเดินออกมา
“พ่อชอบกินอะไรอายก็น่าจะเดาได้นี่ลูก”
“ก็แค่เดา แต่ถ้าคุณพ่อบอกเบลไปตรงๆ จะได้เมนูที่ถูกใจไม่ต้องเดานะคะ เพราะเบลเขาทำอาหารใต้อร่อยมาก” ครองขวัญยกนิ้วโป้งให้เพื่อนสนิท อีกอย่างเธอไม่ได้โอ้อวดเกินจริงเพราะเกวลินนั้นทำอาหารอร่อยใต้จริงๆ ทุกครั้งที่มานอนค้างเธอก็มักจะขอให้เพื่อนรักทำเมนูนั้นเมนูนี้ให้กินเสมอ
“พ่อชอบกินแกงส้มปลากะพงยอดมะพร้าวอ่อนกินคู่กับไข่เจียวกุ้งสับ แค่พูดก็ชักหิวแล้วสิ” แม้ปกติเขาจะไม่กินมื้อเช้านอกจากกาแฟกับขนมปังปิ้ง ทว่าเมื่อได้พูดถึงเมนูโปรดขึ้นมาท้องก็พร้อมใจกันร้องประท้วง ก่อนจะมองไปยังแม่ครัวที่เขาไม่เคยได้ชิมรสมือ
“คุณพ่อจะได้กินเมนูเหล่านั้นภายในเย็นวันนี้ค่ะ เลิกงานแล้วก็กลับบ้านเร็วๆ นะคะ”
“ได้สิ พ่อจะรีบกลับ” ปราณรับปากทันทีเพราะวันนี้เขาเองก็ไม่ได้มีนัดที่ไหนเป็นพิเศษ
“ขับรถดีๆ นะคะคุณพ่อ บายค่ะ” ครองขวัญโบกไม้โบกมือลาผู้เป็นพ่อในขณะที่เกวลินส่งยิ้มบางๆ ให้ปราณเท่านั้น หนุ่มใหญ่มองตรงไปยังลูกสาวก่อนที่สายตาจะมาหยุดอยู่ที่เกวลินซึ่งนานพอสมควรแล้วตัดใจแล้วเดินลงบันไดไปเพื่อทำงาน
“ง่วงจังเลย” คนพึ่งตื่นหาวหวอดๆ บ่งบอกว่ายังง่วงอยู่มาก
“ง่วงแล้วตื่นมาทำไม”
“นั่นสิ ตื่นมาเป็นกอขอคองอทำไมกันนะ” อันที่จริงครองขวัญตั้งใจให้เกวลินกับผู้เป็นพ่อคุยกันตามลำพัง แต่ดูเหมือนถ้าปล่อยไว้บทสนทนาของทั้งคู่คงจบในเวลาอันรวดเร็วแน่นอน จึงสลัดความง่วงแล้วออกไปคุยด้วย
“พูดอะไรนะเบล”
“แซวเล่นหรอก สรุปใจเต้นไหม”
“เต้นสิ ถ้าไม่เต้นเราก็ตายไหมอะ” เกวลินแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่ หมายถึงตอนที่อายอยู่กับพ่อเรา ใจเต้นตึกๆ ตักๆ แบบประหม่าอะไรทำนองนี้ไหม”
“ไม่มีนี่” นอกจากแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจแล้วเกวลินยังแกล้งตีเนียนไม่รู้ไม่ชี้อีกด้วย เธอจะพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไงในเมื่อนั่นคือพ่อของเพื่อนอีกอย่างปราณก็กำลังจะแต่งงานแล้ว เธอไม่อยากตกนรกอยู่ในกระทะทองแดงไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเพราะผิดศีล
“ไม่มีแบบสักนิดก็ไม่มีเลยเหรอ” ครองขวัญเอ่ยอย่างมีความหวังแต่ยังไงเธอก็ไม่ถอดใจเรื่องอยากได้ เกวลินมาเป็นแม่เลี้ยงแน่นอน ต่อให้ตอนนี้เพื่อนรักจะไม่คิดอะไรกับพ่อแต่อยู่กันไปก็คงรักกันเอง สาธุขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เธอคิด
“อือ…สักนิดก็ไม่มีเลย ไปอาบน้ำได้แล้ว สายๆ จะได้ออกไปตลาดซื้อของกัน” เกวลินดันหลังครองขวัญกลับเข้าห้องเพื่อให้เพื่อนอาบน้ำแต่งตัว ในขณะที่เธอก็นั่งรอตรงโซฟา
เธอหรือใจไม่เต้น มันเต้นจนแทบจะหลุดออกมาจากอกเลยด้วยซ้ำและเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ปราณ ไม่ใช่สิเป็นแบบนี้ทุกครั้งแม้จะเป็นแค่การคิดถึงแค่ในใจก็ตาม ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งเต้นแรงจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน แต่เมื่อความจริงวิ่งเข้าปะทะเกวลินก็ต้องวางใจไว้ที่เดินเพราะขืนปล่อยให้มันล่องลอยจะยิ่งเจ็บเกินเยียวยาได้อีก
