บท
ตั้งค่า

3

ขณะที่ธตรัฐภัทรนาคินทร์เสกสร้อยข้อมือให้เธอนั้นเอง อุษาวดีสังเกตเห็นบริเวณเหนือข้อมือของเขาก็มีรอยปานแดงเหมือนกับเธอ อุษาวดีถึงกับอุทานเสียงหลงขึ้นว่า

“อุ้ย! ไม่น่าเชื่อทำไมมีเหมือนกันเลย”

อุษาวดีลดเสียงลงมาเมื่อธตรัฐภัทรนาคินทร์มองหน้าเธอด้วยท่าทางที่สุภาพแต่อุษาวดีกลับเอามือถูตรงบริเวณปานแดงของเขา ธตรัฐภัทรนาคินทร์กลับจับมือของอุษาวดีมากุมไว้ อุษาวดีคิดภายในใจว่า

‘เขาอาจจะทำขึ้นมาเพื่อให้เหมือนกัน เราจะได้เชื่อเรื่องที่เรากับเขาเป็นคู่กันมา’

ธตรัฐภัทรนาคินทร์สามารถล่วงรู้ความคิดของอุษาวดีจึงพูดขึ้นว่า

“อุษาเหตุใดผมต้องทำเช่นนั้น”

“รู้ได้งัยว่าอุษาคิดอะไร”

ธตรัฐภัทรนาคินทร์ไม่ตอบอะไรเพียงแต่อมยิ้ม ภาพที่เขายิ้มนั้นเป็นภาพที่ติดตาอุษาวดีจนกระทั่งเธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อุษาวดีท่าทางงัวเงียทั้งที่ยังไม่ลืมตาเธอใช้มือควานหามือถือบริเวณหมอนข้างแล้วก็กดรับสาย

“นี่! อยากบอกนะว่าตื่นสาย” เสียงจากปลายสายที่พูดกึ่งตะโกนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน “ปลายฟ้า” นั่นเอง

“แล้วจะตะโกนทำไม ชั้นจะตื่นเช้าตื่นสายใครเดือดร้อนอะไรด้วยอ่ะ ฟ้านั่นล่ะโทรมาทำไม” อุษาวดีรู้สึกหงุดหงิดเมื่อมีคนมาปลุกเพราะเธอมักจะคิดว่าเธอยังนอนไม่พอและถ้าร่างกายเธอนอนพักผ่อนเพียงพอแล้วจะตื่นขึ้นมาเอง

“ชั้นไม่ได้อยากโทรมาปลุกหรอกนะแต่วันนี้มีเรียนสัมมาฯคาบแรก”

“จริงดิ ชั้นไม่เชื่อหรอก”

“ชั้นก็ไม่อยากจะให้เชื่อชั้นหรอกนะ ไปดูตารางเรียนเองสิ บ้าบอนี่เรียนป.โทแล้วนะความรับผิดชอบน่ะรู้จักมั้ย ชั้นไม่อยากโทรหาตอนเช้าๆก็เพราะแบบนี้หละ อุษาจ๊ะจะตื่นมาเพื่อทะเลาะกับคนทั้งโลกแบบนี้ม่ายด้าย!”

“เอ่อ!มีเรียนจริงๆด้วย” อุษาวดีเปิดดูตารางเรียนในไอแพดมองนาฬิกาอีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลาเรียนถึงเธอจะบินไปก็คงไม่ทัน

“ชั้นไม่เข้าเรียนได้มั้ย”

“ตามใจ แต่คลาสนี้มีคนลงทะเบียนแค่แปดคนเอง คิดว่าอาจารย์จะจำได้มั้ยล่ะหรือจะมาตอนพักเบรกมั้ยเดี๋ยวชั้นจะจองที่ไว้ให้”

“แค่นี้นะจะรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า”

อุษาวดีวางสายแล้วรีบพุ่งตัวเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วจนกระทั่งตอนล้างหน้าเธอมองเห็นสร้อยข้อมือที่ธตรัฐภัทรนาคินทร์ให้เธอไว้อุษาวดีถึงกับตกใจว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน สร้อยเส้นนี้เป็นหลักฐานยืนยัน เธอเริ่มเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นและจำคำพูดของเขาได้แทบทุกคำแต่ตอนนี้อุษาวดีก็ไม่มีเวลาที่หาข้อมูลใดๆ เธอรีบแต่งตัวออกจากคอนโดขับรถตรงไปที่มหาวิทยาลัย

ลานโล่งหน้าตึกเรียนซึ่งเป็นตึกเก่าแก่ของคณะฯที่ก่อด้วยอิฐมอญแดงทั้งหลังลานโล่งหน้าตึกก็ปูพื้นด้วยอิฐสีแดง ขนาบซ้ายขวาด้วยลานจอดรถ

“นี่!!!!!!!! ไม่เห็นหรือว่าเปิดไฟกระพริบอยู่”

อุษาวดีลดกระจกรถของเธอเพื่อตะโกนออกไปให้กับรถอีกคันที่วิ่งสวนเลนมาแย่งที่จอดรถของเธอ แต่รถคันดังกล่าวไม่ได้ลดกระจกมาคุยกับเธอด้วยซ้ำ นั่นยิ่งทำให้เธอโกรธมากขึ้นและยังคิดว่าอยากจะปาข้าวของใส่รถคันดังกล่าวอีกด้วย อุษาวดีพยายามข่มใจไม่ให้โกรธและเหวี่ยงมากไปกว่านี้ อุษาวดีรู้ตัวตลอดเวลาว่าตัวเองโกรธ เธอคิดว่าตัวเองมีสติรู้ตัวตลอดเวลาแต่บางครั้งสติที่มีก็ไม่เพียงพอที่จะรั้งพฤติกรรมบางอย่างได้ สำหรับอุษาวดีการเอาชนะใจตัวเองเป็นเรื่องที่ยากที่สุดแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ ในช่วงเวลานี้ที่เป็นช่วงเวลาเร่งด่วนจี๋ของเธอด้วยแล้ว อุษาวดีท่องในใจ

‘แค่เรื่องที่จอดรถ เขาคงไม่ได้ตั้งใจ แค่เรื่องที่จอดรถ เขาคงไม่ได้ตั้งใจ’

แต่ความคิดของอุษาวดีอีกความคิดหนึ่งก็ผลุบขึ้นมาในทันทีว่า

‘เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ตั้งใจ ก็ในเมื่อเปิดไฟกระพริบอยู่แบบนี้ ตั้งใจประกาศสงครามศึกชิงที่จอดรถชัด ๆ’

ขณะนี้ทุกสิ่งอย่างที่อยู่รอบตัวของอุษาวดีเหมือนหยุดนิ่งเพราะเธอกำลังถูกความโกรธเข้าครอบงำทำให้เธอไม่แคร์สายตาของผู้คน อุษาวดีต้องต่อสู้กับความโกรธของเธอเอง แต่สุดท้ายความโกรธก็ชนะทำให้เธอลงจากรถเดินฉับๆมุ่งตรงมายังรถคู่กรณีไปเคาะกระจกรถฝั่งคนขับซึ่งถ้าเป็นกลางถนนหรือที่จอดรถที่อื่นเธอคงไม่กล้าทำแบบนี้แต่นี่เป็นที่จอดรถในมหาวิทยาลัยและที่สำคัญที่จอดรถตรงนี้เป็นที่จอดรถสำหรับอาจารย์พิเศษดังนั้นจึงเป็นเรื่องของความถูกต้องที่ควรจะเป็น อุษาวดีคิดว่า

‘สิ่งที่เธอทำเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะเธอกำลังทวงความเป็นธรรมกลับมา’

ขณะนี้อุษาวดีโกรธจนลืมทุกอย่างรวมถึงเธอลืมไปว่าเธอออกจากคอนโดมาทั้งที่ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางเมื่อถอดแว่นดำยิ่งเผยให้เห็นขอบตาคล้ำของคนอดนอน อุษาวดีเอาแว่นดำกันแดดแหนบที่คอเสื้อยืดขาว แล้วตั้งท่ายืนท้าวเอวพร้อมมีเรื่องเสมอแต่ฝ่ายคู่กรณีของเธอกลับค่อยๆลดกระจกลงมา อุษาวดีจ้องชายหนุ่มอย่างไม่ละสายตา เขาน่าจะเป็นนักศึกษาป.ตรีจากการการแต่งตัว แต่ใบหน้าของเขาไม่ได้อ่อนต่อโลกแม้แต่น้อย ผิวขาวของเขาโดนแดดจนกลายเป็นสีแดงๆแทนๆ ตาชั้นเดียว ริมฝีปากเป็นสีชมพูเรื่อๆ จมูกโด่ง พอดีรับกับใบหน้า ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์แย่งที่จอดรถ อุษาวดีคงจะกรี๊ดในความหล่อเหลาสไตล์เกาหลีของเขาไม่น้อย ชายหนุ่มหรี่ตาที่เล็กอยู่แล้วให้เล็กลงไปอีก เพื่อสู้กับแสงแดด เขามองหน้าหญิงสาวตรงหน้าด้วยความพิศวงงงงวยที่เธอมีท่าทีจริงจังค่อนไปทางเครียด เขารู้สึกผิดไม่น้อยและที่สำคัญเขาไม่ได้ตั้งใจแย่งที่จอดรถของเธอแต่เป็นเพราะเขายังไม่คุ้นชินกับการขับรถฝั่งขวาที่ไม่ถนัดนัก

อุษาวดีจ้องหน้าเขาแล้วพูดว่า

“ทำไมทำแบบนี้ค่า จะจอดรถได้งัยค่ะ”

“ป้าครับ ผมขอโทษครับไม่ทันมองครับ เดี๋ยวผมถอยให้ครับ”

“ป้า! ใครป้า!” อุษาวดีพูดด้วยน้ำเสียงสูง พร้อมกับเอามือจับขอบหน้าต่างรถเพื่อไม่ให้กระจกเลื่อนขึ้นแล้วทำหน้าจริงจังพร้อมกับเบิกตาโตซึ่งตาของเธอก็โตพอๆกับไข่ห่านอยู่แล้วให้ยิ่งโตอีกชายหนุ่มรู้สึกชอบผู้หญิงคนนี้เพราะดูเธอเป็นธรรมชาติ เธอคงจะรีบมากจนไม่ทันที่จะแต่งหน้าทำผมแต่ก็ยังคงความน่ารักมีสไตล์การแต่งตัวเป็นของตัวเองทำให้เขาอยากรู้จักเธอมากขึ้น เขาเลิกคิ้วเข้มของเขาพร้อมกับยิ้มให้ด้วยความเป็นมิตรแต่เขาก็รับรู้ถึงรังสีแห่งความโหดร้ายแผ่ขยายเป็นวงกว้างพอเขาสบตาป้าคนนี้ท่าทีของป้าก็ไม่ได้ลดละลงสำหรับอุษาวดี ไม่คิดจะเป็นมิตรด้วยเพราะคำพูดที่เด็กหนุ่มคนนี้พูดมันจิ๊ดขึ้นสมองเธอเหลือเกิน เธอคิดว่า

‘เด็กปากร้ายกล้าเรียกชั้น ป้า ได้หรา’ อุษาวดีทำหน้าตาจริงจังแล้วพูดขึ้นว่า

“น้องค่ะ ดูหน้าพี่ค่ะ เป็นพี่ไม่ใช่ป้า ดูหน้าพี่ใหม่แล้วลำดับการเรียกญาติใหม่ด้วยค่ะ”

เมื่ออุษาวดีพูดจบเด็กหนุ่มก็หัวเราะชอบใจแล้วพูดอีกว่า

“ก็ป้าจริงๆอ่ะครับ ป้านี่ตลกดีนะฮะ”

“บอกว่าให้เรียกพี่ ไม่ใช่ป้า ชั้นเป็นพี่ไม่ใช่ป้า เข้าใจ๊” อุษาวดีเริ่มโมโหเสียงก็ดังพอจะเป็นที่สนใจของคนที่อยู่ในบริเวณที่จอดรถ การข่มใจไม่ให้โกรธมากเกินไปมันยากอย่างที่คุณป้าเคยสอน คำพูดของคุณป้าก็ถาโถมว่า

“การข่มใจตัวเองยากที่สุดแล้ว ถ้าเราเอาชนะใจตัวเองแล้วไม่มีอะไรที่เราจะทำไมได้”

อุษาวดีเริ่มจะเห็นด้วยกับคำพูดของคุณป้า

ชายหนุ่มคู่กรณีของอุษาวดีเลิกยียวนกวนประสาเธอแล้วกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจว่า

“ผมรีบมากครับ ผมมีเรียนตอนเช้า ผมขอโทษจริงๆ”

“น้องมีเรียนเช้าคนเดียวหราค่ะ รีบถอยรถค่ะ”

อุษาวดีเดินกลับไปที่รถโดยไม่สนใจผู้คนที่เดินผ่านไปมาบริเวณลานจอดรถต่างมองรถสองคันนี้ และไม่นานนักทั้งมหาวิทยาลัยก็พูดถึงสงครามกลางลานจอดรถและปลายฟ้ารู้ทันทีว่าหญิงสาวในเหตุการณ์ที่เป็นหัวข้อสนทนาไม่ใช่ใครที่ไหนหากเป็นเพื่อนสนิทของเธอนั้นเอง

ธตรัฐภัทรนาคินทร์เฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นทำให้จิตของเขาเริ่มขุ่นมัวเพราะรู้สึกเศร้าที่ไม่สามารถขัดขวางไม่ให้อุษาวดีเจอกับชายหนุ่มคนนี้ได้สำเร็จทำให้เขาคิดได้ว่า

‘หากเป็นเพราะบุญสัมพันธ์ของเขาและอุษาวดีขึงทำให้ได้พบกันถึงแม้วันนี้จะไม่ได้เจอกันในสักวันเขากับเธอจะได้พบกัน’

สิ่งที่ธตรัฐภัทรนาคินทร์กลัวมากไปกว่าเหตุการณ์นี้คือใจของอุษาวดี ธตรัฐภัทรนาคินทร์พยายามไม่เผลอให้จิตอยู่ในความกลัวแม้เพียงแวบเดียวเขารู้ว่าถึงแม้เพียงแวบเดียวนั้นก็สามารถทำให้จิตของเขาพลังลดลงได้ เขาได้เพียงแต่รู้ว่าเหตุเกิดที่จิตและดับที่จิตเท่านั้นแต่เขาก็ไม่สามารถทำได้เช่นนั้นและกิเลสแห่งรักเห็นจะเป็นเรื่องเดียวที่เขายังไม่สามารถขจัดให้ออกไปได้ทันใดนั้นเองธตรัฐภัทรนาคินทร์ก็ได้ยินเเสียงของอาจารย์ว่า

“เจ้าจะละทิ้งจิตที่กลัวและกังวลในกิเลสแห่งรักไปด้วยการสลัดทิ้งเช่นนี้ย่อมทำได้หากแต่เป็นวิธีที่ไม่เด็ดขาด เจ้าควรที่จะพิจารณาความกลัวและกังวลในกิเลสแห่งรักที่เกิดขึ้นเสียก่อนเมื่อเห็นชัดแล้วจึงละทิ้งไปจะเป็นการละทิ้งที่เด็ดขาด”

อุษาวดีรีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องเรียนซึ่งเป็นเวลาเบรกพอดีอุษาวดีเห็นว่ามีนักศึกษาสองสามคนจับกลุ่มคุยกันห้องหน้าอุษาวดีรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องซึ่งเป็นห้องเรียนที่มีขนาดไม่ใหญ่และโต๊ะเรียนก็ถูกจัดเป็นรูปตัวยูคงเป็นเพราะผู้เรียนไม่มากนักอุษาวดีเข้าห้องไปนั่งข้างกับปลายฟ้า ปลายฟ้าหันมาทักอุษาวดีว่า

“ต๊าย!นางออกมาหน้าสดแบบนี้หราแล้วเมื่อคืนไปทำไรมาตาเป็นแพนด้าแบบนี้”

อุษาวดีเริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อยโดยเอามือจับหน้าตาแล้วเธอก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูหน้าของเธอโดยเธอก็จัดเผ้าผมให้เรียบร้อยขึ้นโดยการเกล้าผมขึ้นมาใหม่แล้วก็พูดกับเพื่อนสนิทว่า

“ก็ไม่เท่าไรนะก็พอดูได้อยู่” อุษาวดีคิดว่าถึงแม้ว่าเธอไม่ได้แต่งหน้าก็ไม่ค่อยแตกต่างเพราะปกติเธอก็แค่ทาแป้ง ลิปสติก เท่านั้น

“นี่!เอาความมั่นใจมาจากไหนอ่ะ เอาที่สบายใจเถอะ ว่าแต่เปิดสงครามที่ลานจอดรถหรา”

“อืม! เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”

อุษาวดีหยุดพูดเพราะเห็นว่าอาจารย์เข้ามาในห้องอุษาวดีเริ่มหยิบไอแพดขึ้นมาเพื่อจด เมื่ออาจารย์เริ่มพูดไปไม่ถึงสิบนาทีอุษาวดีที่อดนอนและไม่ได้ดื่มกาแฟอีกทั้งในห้องก็อากาศเย็นทำให้เธอเริ่มรู้สึกง่วง อุษาวดีให้มือหนึ่งท้าวคางอีกมือหนึ่งถือปากกาดูผิวเผินเหมือนว่าเธอกำลังตั้งใจเรียนมีเพียงปลายฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเพื่อนของเธอกำลังหลับอยู่ อาจารย์ผู้สอนได้เรียกให้อุษาวดีนำเสนอความคิดเห็นต่อเนื้อหาที่กำลังจะเรียน อาจารย์เรียกชื่ออุษาวดีถึงสองครั้งอุษาวดีกลับนั่งนิ่งเฉยจนกระทั่งปลายฟ้าหยิกเข้าที่ขาของเพื่อนรักทำให้อุษาวดีสะดุ้งตื่นมาทำหน้าตื่นเบิกตาโต อุษาวดียิ้มกลบเกลื่อนในความผิดของตัวเองและคิดว่าอาจารย์คงจะรู้ว่าเธอหลับในคาบเรียน คาบแรกของการเรียนผ่านไปด้วยดี หลังจากเรียนเสร็จอุษาวดีชวนปลายฟ้าไปร้านกาแฟก่อน

ร้านกาแฟสีขาวที่ตกแต่งในแนววินเทจ 2 ชั้นภายในร้านเต็มไปด้วยนักศึกษาป.ตรี โท และเอก นั่งคุยกัน ร้านนี้เป็นอีกร้านในมหาวิทยาลัยที่เป็นจุดนัดพบของนักศึกษาเพราะ ตั้งอยู่ระหว่างตึกเรียน ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาพักกลางวันจึงพอจะมีโต๊ะว่างปลายฟ้าและอุษาวดีเข้ามานั่งโต๊ะที่ใกล้กับเคาน์เตอร์สั่งกาแฟ อุษาวดีนั่งลงแล้วทำท่าสูดกลิ่นกาแฟพร้อมกับยิ้มกว้างแล้วพูดว่า

“แค่ได้กลิ่นกาแฟก็ตื่นแล้ว”

“จร้า แสดงว่าตอนเรียนไม่ตื่นเลยว่างั้น”

“อืม! ตื่นนิดหนึ่งอ่ะ”

เมื่อวางของไว้บนโต๊ะทั้งอุษาวดีและปลายฟ้าก็เดินมาสั่งกาแฟระหว่างยืนรอต่อแถวนั้นอุษาวดีก็พูดถึงเหตุการณ์ที่ลานจอดรถ

“คือจริงๆแล้วชั้นไม่อยากจะเหวี่ยงอะไรหรอก ฟ้าลองคิดดู เด็กคนนั้นจริงๆเลยพูดแล้วโมโห กล้าเรียกชั้นว่า ป้า! จะบ้าหราชั้นเพิ่งอายุ 25 มาไม่กี่วันมาเรียก ป้า! ได้ไง แค่นั้นมันยังน้อยไป ก็เห็นอยู่ว่าป้ายปักไว้ว่าอาจารย์พิเศษก็ยังจะทำตัวเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสมาจอดอีก อ่านหนังสือไม่ออกหรืองัย”

“อะไรคือสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรา อุษา”

“ ก็สี่เหลี่ยมจัตุรัสอ่ะมีสูตรหาพื้นที่ ด้านคูณด้าน งัย”

“อุษาก็จริงๆเลย นิสัย!....สรรหาคำมาด่าคนอื่น”

ปลายฟ้าขำที่เพื่อนของเธอช่างสรรหาคำมาด่าแต่อุษาวดีไม่คิดจะขำด้วยเพราะคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีก ขณะที่อุษาวดีและปลายฟ้ายืนอยู่ในแถวนั้น ชายหนุ่มที่อยู่ในก่อนหน้าอุษาวดีสั่งกาแฟและพูดคุยกับพนักงานเป็นภาษาอังกฤษแต่พนักงานคนนั้นพูดทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย อุษาวดีที่พูดกับปลายฟ้าอยู่นั้นเธอต้องหยุดพูดเพราะว่ารู้สึกคุ้นกับน้ำเสียงพนักงานคนนั้นอีกด้วยแต่จำไม่ได้ว่าได้ยินที่ไหน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel