2
ธตรัฐภัทรนาคินทร์มาถึงบริเวณที่ระเบิดพอดี ไฟลุกโชนพวยพุ่งออกมาอย่างแรง เขาได้ใช้มือปัดเปลวไฟจากแรงระเบิดที่พุ่งตรงออกมาด้วยแรงดันของถังแก๊สให้ขึ้นไปบนท้องฟ้าแทนที่จะพุ่งไปทางรถของอุษาวดี การกระทำของเขาสร้างความไม่พอใจให้ท่านยมทั้งสองที่อยู่ในเหตุการณ์เพราะทำงานไม่สำเร็จเนื่องจากธตรัฐภัทรนาคินทร์ที่เข้ามาขวางเหตุการณ์ที่ควรจะต้องเกิดขึ้นเมื่อครู่ให้กลับตาลปัตรไป
“การกระทำของท่านเมื่อครู่เป็นครั้งที่สองแล้ว การทำเช่นนั้นอาจจะมาซึ่งความเดือดร้อนสู่ตัวท่านเอง”
“ข้าพเจ้าทำในสิ่งที่ควรทำ”
“หาใช่เรื่องที่ท่านต้องทำไม่ ชะตากรรมของนางต้องจากสภาพมนุษย์แล้ว”
“หาใช่ตอนนี้ไม่”
“ท่านคงจะลืมไปว่าชะตากรรมถูกกำหนดมาแล้ว”
“แต่ท่านทั้งสองคงลืมไปเช่นกันว่าทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง”
แสงสีแดงฉาดของท่านยมหายแวบไปเหลือเพียงธตรัฐภัทรนาคินทร์ที่ไม่ได้นฤมิตร่างให้ปรากฏต่อหน้าอุษาวดีเขาทำได้เพียงเฝ้าดูเธอ กาลเวลาที่ผ่านมานานหลายชั่วกัปชั่วกัลป์นานแสนนานเหลือเกินกว่าจะได้พบกับนาง บัดนี้เขาลอยอยู่เหนือกระจกหน้ารถของอุษาวดีผู้เป็นนางอันเป็นรักเดียวของเขาและเขาไม่อาจจะเก็บความคิดคำนึงถึงนางที่มีมากเหลือเกินได้อีกต่อไป ท่านอาจารย์ของธตรัฐภัทรนาคินทร์ก็ปรากฏขึ้นเพื่อเตือนสติลูกศิษย์
“ครั้งนี้เจ้าอาจจะทำเกินเหตุไปจริงๆ”
“อาจารย์ ท่านคงจะลืมว่าข้าพเจ้าและนางเราทั้งสองเกิดแบบโอปาติกะเพื่อคู่กันมาก่อน”
“แต่หากกาลนี้เจ้าจำต้องรอเพื่อทุกเป็นไปตามกรรม”
“ข้าพเจ้าคงจะรอต่อไปไม่ได้อีกแล้วเพราะนางยิ่งห่างไกลออกไปเพียงแค่ทำจิตให้นิ่งนางยังคงทำไม่ได้แล้วเมื่อไหร่นางถึงจะเข้าใจหลุดพ้นจากกิเลส”
“แต่ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรมของนางและนางยังครองโสดอยู่เจ้าคงจะลืมไปว่าการที่มนุษย์ไม่ใช้ชีวิตร่วมกับใครย่อมเท่ากับไม่สร้างกรรมเมื่อไม่มีกรรมภพชาติที่จะต้องเวียนไปนั้นย่อมสั้นลง”
“แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าอีกไม่นานนางจะพบใครคนนั้น”
“เมื่อกาลนั้นมาถึงการตัดสินใจนั้นย่อมขึ้นอยู่กับนางหาใช่เจ้าและเจ้าควรจะเข้าใจในกิเลสแห่งรักด้วยการปล่อยวาง”
“ข้าพเจ้ามั่นใจว่าถ้านางพบข้าพเจ้าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป”
“เปลี่ยนไปหรือไม่นั้นเจ้าย่อมรู้ดีแต่ที่เจ้าไม่ควรลืมนั่นคือทุกสิ่งนั้นล้วนอนิจจัง”
ท่านอาจารย์พูดจบก็วาบหายไป ธตรัฐภัทรนาคินทร์ยังคงเฝ้ามองอุษาวดีอย่างสุขใจ ขณะนั้นอุษาวดีเองก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนจ้องมองเธออยู่แต่เธอเข้าใจว่าเป็นเธอที่คิดไปเองวันนี้ของเธอช่างเป็นอีกหนึ่งวันที่น่ามหัศจรรย์และตื่นเต้นตกใจมากในเวลาเดียวกัน
อุษาวดีไม่รอช้าที่จะโทรหาคุณลุงคุณป้าแต่ก็คิดได้ว่าถ้าเล่าไปอาจจะทำให้ท่านทั้งคู่เป็นห่วง เธอจึงโทรหาปลายฟ้าเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอ
"ฟ้าทำไรอยู่ มั้ยรับช้า”
“จร้า แม่วัยรุ่นใจร้อน ก็มันเพิ่งดัง ทำไมมีไรเสียงตื่นเชียวหรือมีผู้...ชายเข้ามาในห้องหราหล่อมั้ย”
“ยังจะมาพูดเล่นอีก ใช่เรื่องนั้นมั้ย เมื่อกี้ตรงสี่แยกมีแก๊สระเบิด”
“อ้าว! เป็นอะไรมั้ยล่ะมีใครเป็นไรมั้ย”
“นี่!ฟ้า ถ้าชั้นเป็นอะไรจะโทรมาได้มั้ย”
“อืม... ก็จริงนะไม่เป็นไรก็ดีแล้วระเบิดตรงสี่แยกไหนอ่ะ”
“ก็สี่แยกคอนโดอ่ะ”
“ตกใจล่ะสิ ไม่น่าเชื่อคนอย่างอุษาก็กลัวเป็นด้วย”
“อ้าว! มั้ยพูดแบบนี้อ่ะ”
“ก็เห็นอยู่คนเดียวอ่ะที่คอนโดก็เลยคิดว่าเรื่องแค่นี้กลัวด้วยหรา”
“ก็เคยบอกไปแล้วว่าชอบอยู่คนเดียว”
“จร้าแม่สาวอินดี้แล้วนี่จะไปไหน”
“ซื้อของกิน ฟ้า...” อุษาวดีลากเสียงยาวและกังวลใจที่จะเล่าให้เพื่อนฟัง
“อะไร ทำเสียงแบบนี้อยากให้ช่วยอะไร”
“คุณยายอยู่มั้ย”
“อุ๊ย!วันนี้มาแปลกถามหาคุณยาย อุษาไม่สบายหรือป่าว”
“ป่าวแค่อยากจะถามคุณยายว่ามีบทสวดมนต์บทไหนไล่ผีได้มั่ง”
ปลายฟ้าหัวเราะขึ้นมาไม่คิดว่าเพื่อนคนเดียวของเธอจะเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้เพราะที่ผ่านมาอุษาวดีเป็นคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อเรื่องอะไรที่ไม่เห็นหรือเธอพิสูจน์ไม่ได้
“อย่าบอกว่าเจอผีหลอกมาด้วย แล้วผีที่ว่าหน้าตาเป็นงัยแล้วอุษาหัวโกร๋นป่าว”
“อย่าพูดเล่นได้มั้ย ชั้นไม่คุยแล้วขับรถก่อน”
อุษาวดีตัดสายปลายฟ้าเพราะเธอคิดว่าปลายฟ้าคงคิดว่าเธอพูดเล่นหลังจากที่อุษาวดีวางสายจากปลายฟ้า เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกิดถังแก๊สที่ใหญ่กว่านี้ระเบิดเธอคงไม่รอดแน่ ยิ่งคิดยิ่งใจหาย เหตุการณ์แก๊สระเบิดที่ทำเอาเธอใจหายใจคว่ำอยู่ไม่น้อย
หลังจากอุษาวดีซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตเสร็จเธอก็รีบตรงกลับคอนโดทั้งที่ปกติเธอจะเดินช้อปปิ้งดูเสื้อผ้ารองเท้าก่อนแต่คงเป็นเพราะเธอไม่มีเงินที่จะมาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยได้อีก
เมื่อถึงคอนโดปลายฟ้าส่งข้อความเป็นบทแผ่เมตตามาให้ แต่อุษาวดีก็มาหาหนังสือสวดมนต์ที่คุณลุงคุณป้าเคยเอามาทิ้งไว้ให้อุษาวดีจำได้ว่าวางอยู่ที่ชั้นหนังสือที่อยู่กลางห้อง อุษาวดีหาหนังสือทั่วทุกชั้นก็ไม่เจอ ขณะที่อุษาวดีวุ่นอยู่กับการหาหนังสืออยู่นั้น เธอก็ได้กลิ่นหอมสดชื่นหอมเหมือนใบไม้กับทะเลผสมกันอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ไม่นานนักแสงสีรุ้งพุ่งเข้ามาปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอทำให้เธอตกใจถอยหลังชนโซฟาจนตัวเธอล้มลงนั่งบนโซฟาพอดี อุษาวดีรู้ตัวว่าครั้งนี้เธอไม่ได้ฝันและมั่นใจว่าไม่ได้เผลอหลับไปอย่างแน่นอน แสงสีรุ้งบางส่วนที่ปรากฏขึ้นนั้นมากระทบที่แขนของเธอนั้นรู้สึกเย็นๆเพียงชั่วพริบตาเธอก็เห็นชายแปลกหน้าคนนั้นที่เธอเจอในฝันเมื่อวันก่อนปรากฏตัวขึ้น ข้างตัว อุษาวดีรู้สึกตกใจถึงแม้ว่าจะคุ้นหน้าของเขาก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ทำให้เธอไม่ได้รู้สึกกลัวหรือตกใจเมื่อเห็นเขามากเท่าครั้งแรก อุษาวดีร้องทักขึ้นว่า
“เฮ้ย! ทำไมมาอีกอ่ะ ตกลงแล้วคุณเป็นอะไรกันแน่อยู่ๆก็โผล่มาแบบนี้ ม่าย ม่ายด้าย!น้า รู้มั้ย”
ธตรัฐภัทรนาคินทร์เดินเข้ามาใกล้อุษาวดีเธอรีบขยับตัวถอยห่างแต่เขานั่งลงข้างๆเธอแล้วจับมือเธอขึ้นมาพร้อมกับบรรจงจุมพิตที่มือของอุษาวดี อุษาวดีตกใจพร้อมกับอุทานขึ้นว่า
“อะไหร่!” อุษาวดีลากเสียงยาว แล้วรีบดึงมือกลับ แต่ธตรัฐภัทรนาคินทร์กลับยื่นมือมาจับใหม่แล้วพูดด้วยท่าทีที่สุภาพว่า
“เราคือ ธตรัฐภัทรนาคินทร์ เป็นชาวแสง และอุษาวดีสิรินาคินทร์คือคู่ของเราที่เกิดมาแบบโอปาติกะเพื่อเป็นคู่กัน”
“ชาวแสงคืออะไร มนุษย์ต่างดาวหรา แล้วอุษาวดีสิรินาคินทร์คือเราหรา โอ๊ย!อะไรเนี่ย เชื่อได้หรอก แต่เอ๊ะ!สรุปเป็นอะไรกันแน่ ที่รู้ๆเนี่ยะ!หายตัวไปมาแบบนี้เหมือนผีเลยน่ากลัวอ่ะ”
“เราไม่ได้เป็นเช่นที่รักกล่าวถึงนะ หากแต่ผมมาจากจาตุมหาราชิกา”
“จาตุมหาราชิกา นี่คือชื่อสวรรค์ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่สวรรค์แต่เป็นอีกโลกหนึ่งที่เหมือนโลกมนุษย์แต่จาตุมหาราชิกาเป็นมิติที่4”
“อะไรคือมิติที่ 4 จาตุมหาราชิกาชื่อเหมือนสวรรค์ในชาดกที่เรียนในวรรณคดีเลย นี่คือเรื่องจริงหรา ไม่อยากจะเชื่อเลย นี่!เรื่องจริงหรา แล้วยิ่งเรื่องที่เราสองคนเป็นคู่กัน ไม่เชื่อหรอก ถ้าเราเคยเป็นคู่กันมาจริงตอนเจอกันครั้งแรกเราต้องรู้สึกรักและถูกชะตาเลยสิแต่นี่ไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นนะตอนนี้ก็ด้วย งั้นพิสูจน์ให้ดูหน่อยสิ”
ธตรัฐภัทรนาคินทร์ กุมมือหญิงสาวอันเป็นที่รักของเขาด้วยใบหน้าที่เต็มอิ่มไปด้วยความสุขเขายิ้มให้กับเธอแล้วพูดว่า
“อุษาวดียังคงเหมือนเดิมที่ไม่ยอมจะเชื่ออะไรง่ายๆ อุษาอาจจะเข้าใจผิดได้ว่าถ้าเราเคยเป็นคู่กันมาก่อนจะต้องรู้สึกรักและถูกชะตาตั้งแต่แรกพบนั้นไม่เสมอไปเพราะพลังดึงดูดนั้นอาจจะเกิดจากราคะก็เป็นได้ แต่เราทั้งสองเกิดมาเพื่อคู่กันตามผลบุญ ในกาลครั้งนั้นมีเหตุให้เราทั้งสองต้องจากกัน”
“แล้วจะยังงัยล่ะ ทำไมต้องตามมาล่ะในเมื่อเลิกกันแล้ว เอ่อ! ก็เราสองคนทำไมต้องมาเจอกันอีกล่ะในเมื่อคุณบอกว่าเราจากกันแล้ว แล้วคุณชื่ออะไรนะยาวมากจำไม่ได้มีชื่อสั้นๆมั้ย”
ธตรัฐภัทรนาคินทร์ ได้แต่ยิ้มให้อุษาวดีและชอบใจในความเป็นอุษาวดีที่เขาคุ้นเคย
“แล้วจะบอกได้ยังว่ามาหาทำไม”
“เพราะอุษาวดี”
“นั่นหละมาทำไม ในเมื่อคุณบอกอุษาว่าเราจากกันแล้ว”
“หากแต่การจากในครั้งนั้นไม่ใช่การจากกันเพราะความยินยอมพร้อมใจของเราทั้งสองอีกทั้งความรักของผมที่มีต่ออุษาเป็นอกาลิโก”
“พูดอะไรให้มันฟังเข้าใจง่ายๆได้มั้ย ไม่ได้จากกันเพราะเราทั้งสองต้องการหราแล้วจากกันทำไมอ่ะอีกอย่าง คุณกำลังจะหมายความว่า ความรักของคุณไม่มีกาลเวลาใช่มั้ย”
“ความรักของผมกับอุษาไม่มีกาล”
“แต่อุษาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะคะแล้วสรุปเราสองคนจากกันเพราะอะไร”
“หากเป็นเรื่องนั้นอุษาจะจำได้เองและความรู้สึกของอุษาจะกลับมาเอง”
“ยังงัยค่ะ”
เขาจึงจับข้อมือของอุษาวดีแล้วปล่อยมือจากข้อมือมาจับมือของเธอ และบัดนี้ที่ข้อมือของอุษาวดีมีสร้อยข้อมือที่ทำมาจากพลอยหลากสีและสร้อยที่ร้อยเม็ดพลอยไว้ลวดลายสวยงามร้อยต่อกันขนาดพอดีกับข้อมือของเธอ
“คือสร้อยอะไรค่ะ” อุษาวดีถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
*จาตุมหาราชิกา เป็นชื่อสวรรค์ชั้นที่๑(ข้อมูลอ้างอิงจากหนังสือไตรภูมิพระร่วง) เป็นสวรรค์ที่อยู่ใกล้โลกมนุษย์มากที่สุดโดยมีป่าหิมพานต์เป็นรอยต่อสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกากับโลกมนุษย์ สวรรค์ชั้นนี้มีท้าวจตุโลกบาลทั้ง๔ (ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวเวสสุวัณณ์) ปกครอง นาค ครุฑ ยักษ์ คนธรรพ์ คันธัพพะเทวดา (คัน-ทัพ-พะ-เท-วะ-ดา) วิทยาธร เทพยดา เทพบุตร เทพธิดา ฯลฯ สวรรค์ชั้นนี้ยังมีการเกิดดับ รัก โลภ โกรธ หลง ริษยา เช่นเดียวกับโลกมนุษย์ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาถือเป็นสวรรค์ชั้นที่มีความหลากหลายมาก