บุปผา จำนนรัก

72.0K · จบแล้ว
Mint Lint
32
บท
7.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ไป๋ลี่หลิน นักแสดงสาววัยยี่สิบสองปี ทายาทคนรองของตระกูลไป๋ที่นับได้ว่าเป็นตระกูลร่ำรวยติดอันดับต้น ๆ ของเมืองจีนได้เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุพร้อมชายที่เธอรักอย่างหมดหัวใจ หากแต่เขากลับไม่อาจตอบรับในความรักนี้ของเธอได้ ‘ชาตินี้เป็นเธอที่วิ่งตามในรักที่ไม่อาจสมหวังจนสิ้นแรงแล้ว หากภพหน้ามีจริง ขอให้รักจงเป็นฝ่ายวิ่งตามเธอคืนบ้างจะได้หรือไม่’ ลี่หลินได้เฝ้าภาวนาอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้วงสุดท้ายของชีวิต แม้ชาตินี้จะไม่สมหวังในรัก ลี่หลินก็ยังอยากที่จะให้ชายผู้นี้คือรักแท้ของเธอในสักชาติภพหนึ่ง หากแต่ชาติภพนั้น ขอให้เขาได้เป็นฝ่ายตามรักและทุ่มเทเพื่อเธอบ้างจะได้หรือไม่ ตัวประกอบผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า 'เขาพลาดโอกาสจากการเคียงคู่นางมาแล้วชาติพบหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว ชาตินี้แม้จะต้องแลกด้วยสิ่งใด เขาก็จะไม่มีวันหันหลังให้นางและปล่อยให้นางจากไปอีกครั้งโดยเด็ดขาด' ขอให้ทุกวัน เป็นวันที่ดี & Enjoy Reading ด้วยรัก สายสมร㋡

นิยายจีนโบราณ

บทที่1 [ห้วงฝัน?]

คริสต์ศตวรรษที่ 21...

ไป๋ลี่หลิน นักแสดงสาววัยยี่สิบสองปี ทายาทคนรองของตระกูลไป๋ที่นับได้ว่าเป็นตระกูลร่ำรวยติดอันดับต้น ๆ ของเมืองจีน หญิงสาวผู้ที่มอบความรักที่แสนบริสุทธิ์ให้แก่ชายคนที่เธอรักจนหมดหัวใจอย่างจางเหว่ย

จางเหว่ย บอดี้การ์ดหนุ่มผู้ที่ได้หัวใจของลี่หลินมาครอบครอง หากแต่ด้วยฐานะที่ห่างไกลกันจนเกินไปนี้จึงทำให้เขาเลือกที่จะมองข้ามความรักและความรู้สึกดีที่อีกฝ่ายมอบให้พร้อมทั้งยังแสดงท่าทีที่แสนจะเฉยชากลับไปเพียงเพื่อหวังว่าอีกฝ่ายจะตัดใจจากเขาได้ในสักวันหนึ่ง นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่จางเหว่ยนั้นไม่อาจเปิดเผยออกไปได้ในช่วงเวลานี้

ลี่หลินได้รู้จักกับจางเหว่ยเมื่อสี่ปีที่แล้ว ในช่วงที่ลี่หลินเพิ่งเข้าเรียนมหาลัยในชั้นปีที่หนึ่งและจางเหว่ยก็คือรุ่นพี่ในคณะของลี่หลิน อีกทั้งยังเป็นพี่รหัสของเธออีกด้วย

ตลอดระยะเวลาสามปีที่ทั้งคู่ได้รู้จักกันในช่วงมหาวิทยาลัย ความรักและความเอาใจใส่ที่จางเหว่ยมีให้ลี่หลินนั้น ล้วนนับได้ว่าเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจทั้งสิ้น หากแต่เมื่อฐานะของลี่หลินได้ถูกเปิดเผยภายหลังจากที่จางเหว่ยได้เรียนจบและเข้าไปทำงานเป็นบอดี้การ์ดชั่วคราวของตระกูลไป๋ เมื่อนั้นจางเหว่ยก็ได้วางลี่หลินไว้ในตำแหน่งที่เขาไม่อาจรักและไม่สามารถที่จะรักได้อีกต่อไป

ตระกูลไป๋ ตระกูลหลี่และตระกูลหยาง สามตระกูลที่ในอดีตเหล่าผู้นำตระกูลล้วนเป็นเพื่อนสนิทกันมาเนิ่นนาน ก่อนที่ความสัมพันธ์ของทั้งสามที่มีนั้นจะจบสิ้นลง เมื่อผู้นำของตระกูลหยางพร้อมด้วยภรรยาได้เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุ และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็มีเพียงผู้นำของตระกูลไป๋ซึ่งก็คือพ่อของลี่หลินนั่นเอง

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ตระกูลหยางก็ตัดขาดความสัมพันธ์จากสองตระกูลที่เหลือและถอนตัวออกมาจากการเป็นพันธมิตรก่อนที่จะตั้งตนเป็นเอกเทศในเวลาต่อมา

คนของตระกูลหยางนั้นสงสัยถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุของอดีตผู้นำของตระกูลหยางว่าตระกูลไป๋นั้นมีส่วนรู้เห็นและอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนั้นอย่างแน่นอน

หากแต่ภายหลังจากที่จางเหว่ยได้ติดตามและค้นหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในอดีตแล้ว เรื่องราวที่ได้รับรู้นั้นกลับกลายเป็นว่าตระกลูหลี่ต่างหาก ที่นับได้ว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ทั้งหมดที่แท้จริง รวมไปถึงความขัดแย้งและความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นระหว่างตระกูลไป๋และตระกูลหยางเองก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะฝีมือของคนตระกูลหลี่แทบทั้งสิ้นอีกด้วย

เดิมทีแล้วจางเหว่ยที่เข้ามาอยู่ในตำแหน่งบอดี้การ์ดนี้ แท้ที่จริงแล้วก็มีจุดประสงค์เพียงเพื่อการแก้แค้นเพียงเท่านั้น หากแต่ลี่หลินกลับทำให้ความมุ่งมั่นของเขานั้นล่าช้าและเกิดการไขว้เขวไปอย่างไม่น่าให้อภัย จวบจนเมื่อไม่นานมานี้ที่จางเหว่ยเพิ่งได้ค้นพบความจริงว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเป็นเช่นไร แต่ทุกอย่างก็ดูว่าจะสายเกินไปแล้ว

“ถ้าฉันเป็นเพียงแค่คนธรรมดา คุณจะรักฉันได้ไหมคะ ถ้าฉันไม่ใช่ทายาทของตระกูลไป๋ คุณจะมองฉันในฐานะของหญิงสาวคนหนึ่งได้ไหม” ลี่หลินถามในขณะที่ตนเองกำลังนั่งทอดสายตาออกไปที่ด้านนอก เธอไม่อยากเห็นสายตาที่เฉยชาและแสนจะเย็นชาจากจางเหว่ยอีกต่อไป แต่ถึงอย่างไรลี่หลินก็ยังไม่อาจตัดใจจากชายคนนี้ได้สักที

“วันนี้คุณหนูคงเหนื่อยมามากแล้ว พักผ่อนก่อนเถอะครับ อีกนานกว่าจะถึงคฤหาสน์” จางเหว่ยแสร้งไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนที่จะตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป โดยที่ไม่ชำเลืองสายตามามองใบหน้าที่เริ่มมีน้ำใส ๆ เอ่อล้นที่ดวงตาของอีกฝ่ายแล้ว

“คุณหนูเหรอ คำนี้ฟังดูห่างเหินดีจัง สามปีแรกที่เราได้รู้จักกันฉันยังเป็นรุ่นน้องที่น่ารักของนายอยู่เลย ทำไมเหรอ เพราะนามสกุลของฉันมันเลยทำให้เราต้องห่างกันแบบนี้ใช่ไหม” ลี่หลินยังคงถามคำถามต่อไป แม้อีกฝ่ายจะไม่ตอบคำถามของเธอกลับมาเลยสักครั้ง

แต่กระนั้นความรู้สึกเจ็บมากมายที่มีอยู่อย่างท่วมท้นภายในใจก็ทำให้ลี่หลินไม่อาจข่มอารมณ์เสียใจไว้ได้อีกต่อไปแล้ว

หากแต่เมื่อสิ้นสุดคำถามนี้ จางเหว่ยกลับตอบคำถามที่ลี่หลินไม่คาดว่าจะได้ฟังคำตอบออกมาเสียอย่างนั้น

“ผมไม่เคยคิดอะไรที่เกินเลยกับคุณหนูเลยแม้เพียงสักครั้ง และถ้าหากที่ผ่านมาผมทำให้คุณหนูคิดมากไป ผมก็ขอโทษด้วยครับ”

“ขอโทษเหรอ? ใครเขาอยากฟังคำขอโทษกัน”

“พรุ่งนี้ ผมจะลาออกแล้ว” จางเหว่ยกล่าวด้วยความรู้สึกผิดที่มีอยู่อย่างท่วมท้นภายในใจ ถ้าหากลี่หลินรู้เรื่องที่เขาเจตนาแฝงตัวเข้ามาอยู่ที่ตระกูลไป๋นี้ ไม่ช้าหรือเร็ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ต้องถึงวันที่จะพังทลายลงมาอยู่ดี เมื่อรู้จุดจบเช่นนี้แล้ว สู้ตัดใจเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ เสียยังจะดีกว่า

“ลาออกพรุ่งนี้? ใจร้ายจังที่เพิ่งจะมาบอกกันเอาจนป่านนี้ ความจริงแล้ว นายไม่จำเป็นที่จะต้องลาออกหรอก เพราะถึงยังไง พรุ่งนี้เราก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว” จากที่เคยคิดว่าตัวเองเจ็บมากแล้วกับความรักที่ยากจะสมหวังนี้ แต่ตอนนี้ลี่หลินก็ได้รู้แล้วว่า ที่ผ่านมานั้น ความเจ็บช้ำที่เธอเคยได้รับ มันยังเจ็บได้อีกมาก เจ็บได้ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“ฉันตกลงที่จะแต่งงานกับตระกูลหลี่แล้ว จากนี้คงไม่ต้องให้นายมาตามดูแลให้เหนื่อยใจแบบนี้หรอก อดทนหน่อยนะ คืนนี้ก็นับว่าเป็นคืนสุดท้ายแล้ว” ลี่หลินที่เคยปฏิเสธการแต่งงานและการหมั้นหมายกับตระกูลต่าง ๆ มากมาย พร้อมทั้งยังแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตัวเองนั้นชื่นชอบจางเหว่ยมากแค่ไหน

แต่วันนี้ ลี่หลินก็ได้รู้แล้วว่า การกระทำเช่นนั้นนอกจากจะไม่ทำให้จางเหว่ยยอมรับในตัวเธอแล้ว เธอกลับยิ่งทำให้เขาต้องรู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปอีกด้วย ยิ่งวันนี้อีกฝ่ายเลือกที่จะขอลาออก เพียงเท่านี้ ลี่หลินก็ตัดสินใจถึงอนาคตการแต่งงานที่ผู้เป็นพ่อเฝ้ารอในคำตอบของเธอได้สักที

“คุณหนูจะแต่งงานกับตระกูลหลี่ไม่ได้” จางเหว่ยกล่าวด้วยอารมณ์ตกใจพร้อมทั้งเผลอขึ้นเสียงใส่ลี่หลินอย่างลืมตัว

“ประโยคเมื่อครู่นี้ คือประโยคคำสั่ง คำขอร้อง หรือเป็นเพียงแค่ประโยคบอกเล่าที่พูดลอย ๆ อย่างนั้นเหรอ” ลี่หลินถามอย่างนึกสงสัย เพราะปกติแล้ว จางเหว่ยก็ไม่ค่อยจะสนใจเธอสักเท่าไรนับตั้งแต่ที่เขานั้นรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของเธอ แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของเธอเสียอย่างนั้น

“คุณหนูจะแต่งกับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่คนของตระกูลหลี่” จางเหว่ยลดน้ำเสียงลง แต่ยังแสดงเจตนารมณ์เดิมที่ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้ โดยลืมไปว่า ด้วยสถานะของตนเองในตอนนี้ย่อมไม่มีแม้สิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็น

“นายพูดผิดแล้ว ฉันแต่งกับคนอื่นไม่ได้เลย แต่มีเพียงแค่ตระกูลหลี่เท่านั้นต่างหากที่ฉันแต่งด้วยได้” เพื่อจางเหว่ยแล้ว ลี่หลินยอมที่จะผิดใจกับผู้เป็นพ่อ หากแต่จางเหว่ยกลับยอมที่จะปล่อยมือจากเธอได้อย่างง่ายดาย และในตอนนี้ ลี่หลินก็แตกสลายไปทั้งใจแล้ว

ในขณะที่ทั้งสองคนยังคงจมอยู่กับความเงียบงัน ก่อนที่จางเหว่ยจะอธิบายสิ่งใด หรือแก้ไขความเข้าใจผิดสุดท้ายของตนเองและลี่หลิน ในเสี้ยววินาทีนั้น ก็ได้มีรถสองคันที่วิ่งแข่งกันมาด้วยความเร็วสูง ก่อนที่รถคันหนึ่งนั้นจะเบียดกระแทกรถของพวกเขาที่กำลังขับอยู่ด้วยความเร็วจนรถเกิดเสียหลักและตกสะพานไปอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ ความรักที่ไม่สมหวัง อีกทั้งยังไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะพูดจากันให้เข้าใจกันระหว่างจางเหว่ยและลี่หลินนั้นก็มีอันต้องจบสิ้นลงพร้อมด้วยลมหายใจของทั้งคู่ที่ได้หมดสิ้นไป

ลี่หลินในวัยยี่สิบสองปีที่ต้องเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันพร้อมด้วยจางเหว่ยบอดี้การ์ดคนสนิท เนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ได้เสียหลักตกลงสู่แม่น้ำในช่วงกลางดึกของวันนั้นเอง ก่อนที่ดวงจิตทั้งสองจะก้าวข้ามผ่านสะพานไน่เหอเพื่อเดินทางเข้าสู่แดนปรโลกนั้น ดวงจิตที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าถึงสองดวงก็ได้ภาวนาร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง

‘ชาตินี้เป็นเธอที่วิ่งตามในรักที่ไม่อาจสมหวังจนสิ้นแรงแล้ว หากภพหน้ามีจริง ขอให้รักจงเป็นฝ่ายวิ่งตามเธอคืนบ้างจะได้หรือไม่’ ลี่หลินได้เฝ้าภาวนาอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้วงสุดท้ายของชีวิต

แม้ชาตินี้จะไม่สมหวังในรัก เจ้าตัวก็ยังอยากให้จางเหว่ยคือรักแท้ของเธอในสักชาติภพหนึ่ง หากแต่ชาติภพนั้น ขอให้เขาได้เป็นฝ่ายตามรักและทุ่มเทเพื่อเธอบ้างจะได้หรือไม่