ตอนที่ 10 ตำหนักบูรพา
ตอนที่ 10
ตำหนักบูรพา
วันนี้เป็นอีกวันที่ ณ จวนสกุลเฉินตกแต่งไปด้วยผ้าแดงและกระดาษมงคลทั่วทั้งจวน เกี้ยวรับเจ้าสาวขนาดแปดคนหามพร้อมด้วยขบวนรับเจ้าสาวนั้นก็รอท่าอยู่ที่หน้าจวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะขาดก็แค่ผู้ที่ขบวนมารอนั้นยังไม่ได้ก้าวเท้าออกมาจากประตูจวน
การที่มีราชโองการแต่งตั้งบุตรสาวคนเล็ก เฉินจินฮวา เป็นเฉินเช่อเฟยในรัชทายาทนั้นไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงยังไม่ทราบ ขุนนางน้อยใหญ่ต่างส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้สกุลเฉินไม่ขาดสายที่ได้เกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์
แม้ราชโองการแต่งตั้งจะไม่ได้แต่งตั้งในตำแหน่งไท่จื่อเฟยทว่า ตำแหน่งชายารองในเวลานี้ถือว่าสูงนัก เพราะตำแหน่งไท่จื่อเฟยแห่งตำหนักบูรพานั้นยังเว้นว่างอยู่ และใคร ๆ ก็ต่างรู้ว่าเช่อเฟยที่ได้รับแต่งตั้งสองคนก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเป็นที่พอพระทัยองค์ไท่จื่อนัก
ผู้คนในเมืองไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนางหรือชาวเมืองต่างก็พากันจับจ้องมาที่เช่อเฟยคนใหม่อย่างใส่ใจเป็นอย่างยิ่งถึงขั้นที่บ่อนการพนันในเมืองหลายแห่งก็ยังเปิดให้พนันกันว่าเฉินเช่อเฟยคนใหม่นี้จะเป็นที่โปรดปรานหรือไม่
แน่นอนว่าเสียงพนันส่วนใหญ่ล้วนลงฝั่งที่จะไม่เป็นที่โปรดปรานไปมากกว่าครึ่ง
“องค์ไท่จื่อย่อมไม่ถูกใจเฉินเช่อเฟยหรอก ขนาดหมิงเช่อเฟยที่ได้รับตำแหน่งสตรีที่งดงามที่สุดในเมืองหลวงสามปีซ้อนยังไม่เป็นที่พอพระทัยเลย”
“สวีเช่อเฟยที่ทั้งเก่งกาจชื่อเสียงเป็นหนึ่งด้านดีดพิณ วาด-ภาพก็ยังไม่ทรงโปรดเช่นกัน”
“เฉินเช่อเฟยผู้นี้ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกับเช่อเฟยทั้งสองก่อนหน้าไม่ผิดแน่ อาจจะยิ่งไม่เป็นที่พอพระทัยมากที่สุดเลยก็ได้ เฉินเช่อเฟยผู้นี้เองก็เป็นบุตรสาวสกุลใหญ่เช่นกัน แต่ข้าว่าย่อมมีความแตกต่างจากเช่อเฟยสองคนก่อนนักเพราะเฉินเช่อเฟยผู้นี้มาจากจวนแม่ทัพ แม้ข้าจะได้ยินว่ารูปโฉมของนางก็โดดเด่นทว่าเกรงว่าจะเป็นแม่เสือดุมากกว่าคุณหนูในห้องหอแล้ว”
“ทูลองค์ไท่จื่อ ในเมืองก็ลือเรื่องเช่นนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ ทรงอยากให้กระหม่อมกวาดล้างข่าวลือหรือไม่” ลู่เหยียนองครักษ์ส่วนพระองค์ทูลถาม
“ช่างเถอะปล่อยให้ลือกันไป เจ้าไปทำเรื่องหนึ่งให้ข้าก็พอ” โม่หลงอวี้ตรัสเสียงเรียบ
“เชิญองค์ไท่จื่อรับสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้านำเงินทั้งหมดในกล่องนี้ไปลงพนันให้ข้าที ลงข้างเฉินเช่อเฟยคนใหม่จะเป็นที่โปรดปราน” เจ้าของเสียงทรงอำนาจตรัสขึ้น ก่อนจะดันกล่องไม้ขนาดกลางไปทางองครักษ์คนสนิทของพระองค์
ลู่เหยียนแบกกล่องเงินอันหนักอึ้งขึ้นมา ก่อนจะขอทูลลาไปทำตามรับสั่ง ระหว่างทางเขาไม่ลืมที่จะแวะร้านรับฝากเงินเพื่อเบิกเงินส่วนหนึ่งของตนออกมาด้วยและตรงไปที่บ่อนขนาดใหญ่ในเมืองหลวงทันทีเพื่อทำตามพระประสงค์
ตำแหน่งเช่อเฟยนั้นแม้จะเป็นชายารองของหวงไท่จื่อทว่า ตามกฎแล้วนั้นนอกจากไท่จื่อเฟยแล้ว ชายารองเช่นนางมิอาจสวมมงกุฎหงส์ได้ ทำได้เพียงสวมใส่มงกุฎเจ้าสาวลายดอกไม้เท่านั้น
ชุดเจ้าสาวสีแดงนี้แม้จะดูหรูหราแต่ก็ปักลวดลายมงคล อย่างเรียบง่ายเช่นกัน ท่านแม่และพี่ใหญ่ของนางเป็นผู้ช่วยสวม ชุดเจ้าสาวและมงกุฎให้นางเองกับมืออย่างตั้งอกตั้งใจยิ่ง
“ก้าวออกไปเจ้าก็จะเป็นคนของตำหนักบูรพาแล้ว ลูกแม่ เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดีต้องระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว จะเอาแต่ใจเหมือน อยู่ที่จวนเฉินนั้นไม่ได้” ผู้เป็นมารดาเอ่ยกำชับ
“ข้าทราบดีเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเกินไปนัก หรอกเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางส่งยิ้มให้มารดา
“เช่นนั้นก็ดี ก็ดี” เฉินฮูหยินอดไม่ได้ที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“ท่านแม่ข้าแต่งออกไปได้อย่างดีนะเจ้าค่ะ สตรีมากมายอยากเข้าตำหนักบูรพาไม่น้อย ตำแหน่งเช่อเฟยของข้าที่ได้รับก็ไม่ถือว่าน้อยหน้าผู้ใด ชายาเอกของเหล่าองค์ชายก็ยังต้องนอบน้อมกับข้าในฐานะพี่สะใภ้” นางเอ่ยปลอบมารดาอย่างร่าเริง
“นั้นสิเจ้าคะท่านแม่ ท่านยังไม่รู้จักบุตรสาวคนเล็กของท่านดีพอหรือเจ้าคะ ท่านอย่าได้กังวลจนเกินไปเลย” เฉินซือหนิงช่วยน้องสาวตนเอ่ยปลอบมารดาอีกเสียง แม้ในใจจะรู้สึกเป็นห่วงผู้เป็นน้องสาวไม่ต่างจากมารดานัก
หลายครั้งนางก็อดจะคิดโทษตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำเมื่อคิดว่า หากนางไม่ได้แต่งงานออกไปก่อนคนที่ต้องเข้าตำหนักบูรพาคงเป็นนางไม่ใช่น้องสาว
ตัวนางได้อยู่กับบุรุษที่รัก แต่ผู้เป็นน้องสาวนั้นไม่ใช่
“ท่านแม่ข้าไม่อยู่ก็ยังมีพี่ใหญ่อยู่ใกล้ ๆ ท่าน ยามนี้พี่เขยกลับมารับราชการในเมืองหลวงแล้วท่านกับพี่ใหญ่ก็จะได้พบเจอกันบ่อย ๆ เอาล่ะพวกท่านอย่าได้รั้งข้าเอาไว้อีกเลย ขบวนรับคนของตำหนักบูรพาคงมารออยู่นานแล้ว มาเถอะพวกท่านทั้งสองช่วยส่งข้าออกเรือนด้วยรอยยิ้มสักหน่อย”
เจ้าสาวขึ้นเกี้ยว แม้ขบวนรับเจ้าสาวจะใหญ่โตหรูหรา ทว่าไร้ซึ่งเสียงกองนำขบวน
เกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนตัวอย่างเรียบง่าย แม้ยิ่งใหญ่แต่ก็มิอาจกระทำอย่างโดดเด่นจนเกินไปนี่ถือเป็นธรรมเนียมรับชายารอง ซึ่งจะทำให้เทียบเท่าหรือเท่าเทียบขบวนรับชายาเอกมิได้
เมื่อมาถึงตำหนักบูรพา นางก้าวออกจากเกี้ยวเจ้าสาวโดยมีอาหลัวค่อยประคอง
“คารวะเฉินเช่อเฟย กระหม่อมฝูกงกง จะเป็นผู้นำทางท่านเข้าตำหนักขอรับ”
“ลำบากฝูกงกงแล้ว ฝูกงกงเชิญนำทางเถิด” เจ้าของน้ำเสียงเรียบเฉยภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสวยเอ่ยขึ้นเบา ๆ
ภายใต้การนำทางของฝูกงกงและการประคองอย่างเต็มความสามารถของอาหลัวไม่นานนักเฉินจินฮวาก็มาถึงตำหนักทิศประจิมซึ่งเป็นตำหนักรองแห่งหนึ่งในวังบูรพาแห่งนี้
ฝูกงกงขอตัวกลับไปแล้วเมื่อพานางมาส่งถึงห้องหอได้สำเร็จ ก่อนกลับไปฝูกงกงยังบอกอีกว่ายามนี้องค์ไท่จื่อนั้นติดราชกิจเร่งด่วนอยู่คงต้องให้เวลาสักหน่อยให้นางทานอะไรรองท้องไปก่อนไม่ต้องทนหิวรอพระองค์
“อาหลัวนั่งเถอะ ทานอาหารเป็นเพื่อนข้า”
“คุณหนูบ่าวเกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ”
“อาหารมากมายข้ากินคนเดียวไม่หมด จะเหมาะสมไม่เหมาะสมอะไร รีบกินให้หมดก่อนอาหารจะเย็นจึงจะเรียกว่าเหมาะสม เจ้านั่งลงจับตะเกียบซะเถอะ”
“บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ หากองค์ไท่จื่อเสด็จมาจะทำเช่นไรเล่าเจ้าคะ”
“ฝูกงกงบอกแล้วว่าทรงติดงานสำคัญกะทันหัน เกรงว่าคงไม่เสร็จสิ้นง่าย ๆ ซ้ำยังบอกให้ก่อนได้เลย เจ้าก็รีบช่วยข้ากินเถอะอย่าได้คิดอะไรมากมายเลย”
“เอาอย่างนั้นแน่หรือเจ้าคะ”
“เอาแบบนี้แหละ มาจับตะเกียบขึ้นมาซะอาหลัว”
“ทางตำหนักทิศประจิมเป็นอย่างไร” โม่หลงอวี้เอ่ยถามกงกงรับใช้คนสนิท
“กระหม่อมนำทางเฉินเช่อเฟยเข้าตำหนักโดยเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าถามว่าทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากที่เจ้าบอกว่าข้าติดราชกิจ”
“พระชายารองเฉินไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แม้จะถามไถ่เพิ่มเติมก็ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
“น้ำเสียงเล่า สีหน้านางเป็นอย่างไร”
“ทูลไท่จื่อน้ำเสียงปกติฟังไม่ทราบว่ารู้สึกโมโหหรือน้อยใจเลยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนสีหน้าของพระชายารองเฉินนั่นกระหม่อมไม่อาจทราบได้เพราะผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวยังปกปิดอยู่”
“ท่าทางเล่า นางดูผิดหวังบ้างหรือไม่”
“เท่าที่บ่าวสังเกตนั้นไม่มีเลยขอรับ”
“ดูแล้วชายารองผู้นี้จะเป็นผู้เก็บอารมณ์และอดทนได้ดีมากทีเดียว ฝูกงกงประเดี๋ยวเจ้าคอยส่งคนไปมองที่ตำหนักทิศประจิมเอาไว้ หากเกิดความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยมารายงานข้า”
“องค์ไท่จื่อพระองค์จะไม่ทรงเสด็จตำหนักทิศประจิมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ย่อมต้องไปอยู่แล้ว อย่างไรอย่างน้อยวันนี้ข้าก็ต้องเปิดผ้าคลุมหน้าให้นาง เพียงแต่ข้ายังไม่ไปเวลานี้เท่านั้น”
“เช่นนั้นพระองค์จะเสด็จเมื่อไหร่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อาจจะเป็นหนึ่งหรือสองชั่วยามต่อจากนี้”
“.......”
ฝูกงกงที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นนายตรัสออกมาอย่างไร้ความรู้สึกก็หยุดนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ภายในใจของเขายามนี้รู้สึกเห็นใจชายารองคนใหม่แห่งตำหนักทิศประจิมอยู่เล็กน้อย
จวบจนปลายยามโฉ่ว (01:00-02.59น.) โม่หลงอวี้ถึงได้ ก้าวเข้าเขตตำหนักทิศประจิมซึ่งเป็นตำหนักที่พระองค์สั่งให้ชายารองคนใหม่ของตนนั้นเข้าประทับ พร้อมทั้งใช้เป็นเรือนหอ ในวันส่งตัวอย่างในวันนี้
มิใช่สิ หากจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือวันส่งตัวนั้นคือเมื่อวาน ตอนค่ำ ยามนี้เวลาล่วงเลยมานานจนล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว
ตลอดทางที่พระองค์ก้าวเดินเข้าไปภายในห้องหอส่วน ของด้านหน้าก็พบเข้ากับเหล่าสาวใช้กว่าสี่คน หนึ่งในนั้นที่ดูไม่คุ้นหน้าเมื่อได้ยินเสียงของฝูกงกงที่เอ่ยเรียกเบา ๆ จึงลุกขึ้นจากที่นั่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
“บ่าวถวายพระพรองค์ไท่จื่อเพคะ”
“ดึกแล้วพวกเจ้าแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“หม่อมฉันจะอยู่คอยรับใช้พระองค์กับพระชายารองเองเพคะ” อาหลัวเอ่ย
“ไท่จื่อทรงรับสั่งให้กลับไปพัก เจ้าก็ไปเถอะ” เป็นฝูกงกงที่เอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นบ่าวขอทูลลาเพคะ” อาหลัวไม่กล้าที่จะดึงดันต่อไป นางได้แต่ทำตามรับสั่ง กลับไปพักที่เรือนด้านหลังซึ่งเป็นที่สำหรับสาวใช้ของตำหนักทิศประจิมโดยเฉยเพราะสาวใช้อีกสามคนก็กลับเรือนพักเดียวกันกับนางเช่นกัน
หลังจากที่ไล่เหล่าสาวใช้ออกไปหมดแล้ว ยามนี้ภายในห้องด้านหน้าของเรือนหลักในตำหนักทิศประจิมนั้นมีเพียงองค์ไท่จื่อและขันทีคนสนิท
“องค์ไท่จื่อเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” ฝูกงกงเอ่ยพลางรวบม่านลูกปัดซึ่งกันระหว่างห้องด้านนอกและห้องด้านในออกให้ผู้เป็นนาย
“เจ้าเองก็กลับไปพักผ่อนเถอะ ดึกแล้วพรุ่งนี้เจ้าก็พัก จนถึงช่วงบ่ายได้ ให้ผู้อื่นมาค่อยรับใช้ข้าช่วงเช้าก็พอ”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ไท่จื่อ ข้าน้อยขอทูลลาก่อน”
เมื่อจัดการไล่คนไปจนหมดแล้ว เจ้าของร่างกายอันเปี่ยม ไปด้วยอำนาจก็ได้ก้าวเข้าสู่ตำหนักด้านใน ซึ่งเป็นในส่วนของห้องนอน โม่หลงอวี้คิดเอาไว้ว่าหากก้าวเข้ามาแล้วสิ่งแรกที่จะ เห็นก็คงจะเป็นชายารองคนใหม่ของเขาที่กำลังสวมชุดเจ้าสาวรอ อยู่ที่เตียงดวงหัวใจอันเจ็บช้ำ
ทว่าดูแล้วสิ่งที่พระองค์คิดกับความเป็นจริงนั้นไม่ได้ ใกล้เคียงกันเลย เจ้าสาวที่ควรหัวใจแตกสลายในวันแต่งงานนั้น ไม่ได้นั่งรอสามีเช่นพระองค์เข้ามาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวอย่างที่ ควรจะเป็น…
