ตอนที่ 3 สำรับมื้อค่ำ
กู้หว่านชิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย นางก้มหน้าลง แสร้งทำเป็นวุ่นอยู่กับการจัดถาดอาหาร แต่ในใจกลับปั่นป่วนไปหมด “ท่านป้า...” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้ามิได้หวังสิ่งใดหรอกเจ้าค่ะ ขอเพียงให้ท่านป้าและไป๋หลินมีชีวิตที่สุขสบาย ส่วนคุณชายไป๋...ข้าหวังเพียงให้เขาสอบได้ตำแหน่งขุนนางดั่งที่ตั้งใจ เท่านั้นข้าก็พอใจแล้ว”
นางตระหนักดีว่าหญิงสาวผู้นี้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อบุตรชายของตนเพียงใด และตลอดสองปีที่ผ่านมาก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงความมั่นคงในความผูกพันนั้นอย่างชัดเจน “เจ้าช่างเป็นเด็กดีเหลือเกิน...” เพ่ยหลันลูบมือของกู้หว่านชิงเบา ๆ “อาไป๋เป็นบุรุษที่โชคดีนัก หากเขาได้เจ้ามาเป็นคู่ชีวิต ข้าเชื่อว่าชีวิตของเขาจะต้องสมบูรณ์พร้อมแน่นอน”
“ข้าทำขนมแป้งทอดราดน้ำผึ้งมาให้เจ้าค่ะ” นางเปลี่ยนเรื่อง พลางเลื่อนถาดขนมไปข้างหน้าหญิงชรา “ท่านป้าทานสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ วันนี้ข้าลงมือทำเอง รับรองว่าหอมหวานกว่าครั้งก่อนแน่”
เพ่ยหลันหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยิบขนมขึ้นมาลิ้มรส ความหวานละมุนกระจายไปทั่วปาก นางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “อืม...เจ้าทำได้ดีขึ้นทุกครั้งเลยนะ” จะมีผู้ใดเหมาะสมกับบุตรชายของนางไปมากกว่ากู้หว่านชิงอีกเล่า
“พี่หว่านชิง ข้าได้ยินมาว่าพี่กุ้ยฉินอยู่ที่เมืองหลวง ท่านพ่อของนางยังได้เลื่อนขั้นอีกด้วย” ไป๋หลินเอ่ยขึ้นตามประสา นางได้ยินเรื่องนี้มาจากพี่ชาย
กู้หว่านชิงพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มบาง “ใช่ นางยังส่งจดหมายมาเล่าเรื่องทางโน้นให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง โชคดีของนางจริง ๆ” น้ำเสียงของนางราบเรียบ หาได้มีความริษยาแม้แต่น้อย
เดิมทีบิดาของกุ้ยฉินเป็นเพียงนายอำเภอเหอหยาง ทว่าปีกลายเขาสร้างผลงานอันโดดเด่นจนได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นขุนนางในเมืองหลวง กุ้ยฉินและมารดาจึงได้ติดตามไปอาศัยอยู่ที่นั่นด้วย
หนึ่งปีมานี้ กู้หว่านชิงได้รับรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับชีวิตของสตรีในเมืองหลวง ในแต่ละเทศกาล พวกนางล้วนแข่งขันกันแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าจนหนาเตอะ อีกทั้งยังสวมใส่เครื่องประดับมากมาย แข่งกันว่าใครจะมีของล้ำค่ากว่า แพงกว่า หรือหายากกว่า
เมื่อนึกถึงสิ่งที่กุ้ยฉินเล่ามา กู้หว่านชิงพลันหัวเราะเบา ๆ นางมิอาจจินตนาการว่าตนเองจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเช่นนั้นได้เลย
ทว่าไป๋หลินกลับไม่รู้ความ นางยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงใสซื่อ “พี่กุ้ยฉินบอกให้พี่ใหญ่ไปพักอยู่ที่จวนได้นะ”
สิ้นเสียงเด็กน้อย กู้หว่านชิงพลันชะงักไป สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายกับตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ทว่าเพ่ยหลันกลับแย้มรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะส่งสายตาดุไปยังบุตรสาวตัวเล็ก คล้ายตำหนินางทางอ้อม “เจ้าเด็กคนนี้พูดจาเหลวไหล ชิงเอ๋อร์อย่าไปใส่ใจเลย”
ไป๋หลินเห็นสายตาพิฆาตจากมารดา จึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจ หันไปมองขนมแป้งทอดหอมกรุ่นเบื้องหน้าด้วยดวงตาเป็นประกาย “ขนมแป้งทอดของพี่หว่านชิงอร่อยไม่เหมือนใครเลย”
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะส่งสายตาวิงวอนอย่างออดอ้อน “พี่หว่านชิงเจ้าคะ พรุ่งนี้ข้าอยากไปเดินเล่นที่ตลาด ท่านไปกับข้าได้หรือไม่”
ก่อนที่กู้หว่านชิงจะทันตอบ เสียงทุ้มต่ำของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังแทรกขึ้นจากด้านนอก “คุณหนูขอรับ นี่ก็ดึกมากแล้ว กลับจวนเถิดขอรับ”
คนถูกเรียกหาสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อนางจำได้ว่าเป็นเสียงของหยาง เขาตามนางมาตั้งแต่เมื่อใดกัน? ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนี้ หัวใจของนางพลันสั่นไหวคล้ายถูกกระชากลงเหวลึก
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะตอบกลับไปเสียงเรียบ “ข้ารู้แล้ว กำลังจะออกไปเจ้าค่ะ” ถึงเขาจะเป็นบุรุษที่ดูแปลกประหลาดในสายตาผู้อื่น
สำหรับกู้หว่านชิงแล้วกลับไว้วางใจเขามากกว่าผู้ใด ต่อให้อดีตของเขาจะเป็นเพียงม่านหมอกที่เลือนราง หากแต่ในสายตานาง เขายังคงเป็นพี่หยาง...พี่ชายที่แสนดีคนที่คอยอยู่เคียงข้างนางและพร้อมที่จะปกป้องนางเสมอ
“เจ้ากลับไปเถิด วันนี้ก็เย็นมากแล้ว เถ้าแก่กู้ย่อมเป็นห่วงเจ้ามากกว่าผู้ใด วันหลังให้เสี่ยวลู่นำมาให้ก็ได้” เพ่ยหลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางเกรงใจเด็กสาวผู้นี้เหลือเกิน ซ้ำยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าตนเองกลายเป็นภาระไปเสียแล้ว
“นั่นสิเจ้าคะ พี่หว่านชิง รีบกลับเถิด หากท่านลุงกู้มาด้วยตนเอง เกรงว่าท่านแม่ของข้าคงยากจะรับมือได้” ไป๋หลินเอ่ยพลางเหลือบมองกู้หว่านชิงด้วยความกังวลใจ
แม้เถ้าแก่กู้จะเป็นบุรุษที่ดูมีเมตตา เปี่ยมด้วยคุณธรรม แต่หากโทสะของเขาปะทุขึ้นมาแล้วไซร้ อย่าว่าแต่เพียงการตำหนิติเตียนเลย จวนเล็ก ๆ หลังนี้อาจถึงคราวถูกสั่งรื้อถอน ขับไล่พวกนางออกไปโดยไร้ที่พึ่ง
หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกนางคงต้องระหกระเหินไปนอนที่วัดร้าง เพียงแค่คิดถึงภาพนั้น ไป๋หลินก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกวาบ
นางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปนปลอบโยน “พี่ใหญ่ไม่อยู่แล้ว จวนของเราก็เงียบเหงาไปถนัดตา...แต่ท่านไม่ต้องกังวลใจไป ข้าน่ะ โตพอจะดูแลท่านแม่ได้แล้ว” แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่ความเป็นจริง นางก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น มิใช่หรือ?
ที่จริงแล้ว นางอยากจะออกไปช่วยแบ่งเบาภาระ อยากทำงานหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัว ทว่าพี่ชายกลับออกปากห้ามไว้เสียก่อน อีกทั้งหากตนเองไม่อยู่บ้าน แล้วเกิดเหตุให้มารดาเป็นลมหน้ามืดขึ้นมาเล่า? นางจะให้อภัยตนเองได้หรือ? ไป๋หลินเงียบไปชั่วขณะ
แต่ดูเหมือนว่ากู้หว่านชิงกลับเผยรอยยิ้มกว้าง ราวกับคำพูดของไป๋หลินช่วยปลดเปลื้องความกังวลในใจของนางไปสิ้น นางยื่นมือไปลูบไล้เส้นผมนุ่มสลวยของเด็กสาวอย่างอ่อนโยน แววตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู
“เช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว” นางเอ่ยเสียงนุ่ม “พรุ่งนี้ข้าจะมารับเจ้าไปเดินเล่นด้วยกัน”
ไป๋หลินเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเป็นประกาย ก่อนจะพยักหน้าหงึก ๆ ด้วยความตื่นเต้น “ตกลงเจ้าค่ะ!” เสียงหัวเราะใสของเด็กหญิงดังกังวานไปทั่วเรือน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นที่อบอวลอยู่รอบกาย
สายลมยามเย็นพัดเอื่อย ไล้ผ่านชานเรือนจนเกิดเสียงแผ่วเบา เงาร่างสูงโปร่งของบุรุษผู้หนึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ใต้แสงโคม เขาสวมอาภรณ์สีเข้ม หมวกกว้างบดบังส่วนบนของใบหน้า ผ้าโปร่งบางเบาคลุมต่ำลงมาจนซ่อนโครงหน้าคมสันเอาไว้อย่างมิดชิด มีเพียงดวงตาดำขลับที่ฉายแววคมกริบ
หยางยืนรออยู่ภายนอกมาเนิ่นนาน ทว่าคนที่เขารอคอยกลับยังไม่ออกมาเสียที ความอดทนที่ใกล้ถึงขีดจำกัด ทำให้เขาตัดสินใจละเมิดมารยาท บุกเข้าไปด้านในโดยพลการ
ภายในเรือนมีกลิ่นหอมจาง ๆ ของขนมแป้งทอดลอยอบอวล แสงตะเกียงวูบไหวตามแรงลม เผยให้เห็นเงาของหญิงสาวที่ยังคงสนทนากับเจ้าของเรือนอย่างออกรส หยางกวาดตามอง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มขรึม
“คุณหนู ถึงเวลาต้องกลับแล้วขอรับ ประเดี๋ยวนายท่านจะเป็นกังวล” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ทว่าหนักแน่นพอจะเรียกสติของหญิงสาวให้หลุดออกจากบรรยากาศอบอุ่นตรงหน้า
กู้หว่านชิงหุบยิ้มแทบไม่ทัน ก่อนจะรีบก้าวเข้าไปคล้องแขนชายหนุ่มอย่างสนิทสนม ท่าทางคล้ายจะออดอ้อน “ขอโทษทีเจ้าค่ะ ทำให้พี่หยางต้องเป็นห่วงอีกแล้ว” น้ำเสียงหวานสดใส ประกอบกับรอยยิ้มแสนละมุนนี้ มีหรือที่หยางจะโกรธเคืองได้ลง
แม้บุรุษร่างสูงจะยังคงรักษาท่าทีเคร่งขรึม ทว่าดวงตาที่ฉายแววเงียบสงบนั้น กลับอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว
ภาพตรงหน้าตกอยู่ในสายตาของสองแม่ลูกที่ยังยืนอยู่ในเรือน ไป๋หลินเป็นเด็กไร้เดียงสา นางมักพูดจาตามใจปาก ครั้นเห็นกู้หว่านชิงมีท่าทีสนิทสนมกับบ่าวรับใช้เช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปกระซิบกับมารดาของตน
“พี่หว่านชิงนี่ก็กระไรนัก กับบ่าวรับใช้เพียงคนเดียว จำเป็นต้องสนิทชิดเชื้อปานนั้นเชียวหรือ” น้ำเสียงของเด็กหญิงแฝงความประหลาดใจ แม้ไม่ได้มีเจตนาร้าย
เพ่ยหลันรีบยกมือแตะไหล่บุตรสาวเบา ๆ เป็นเชิงปราม ดวงตาคู่งามฉายแววตำหนิอ่อน ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม “อย่าได้พูดจาซี้ซั้วเป็นอันขาด ขนมที่เจ้ากำลังถือ กระทั่งเสื้อผ้าที่สวมใส่ ก็ล้วนแต่นางเป็นคนจัดหาให้มิใช่หรือ? พวกเรายังต้องพึ่งพานางอีกมาก เจ้าจงรู้จักวางตัวให้เหมาะสม อย่าพูดมากให้เป็นปัญหา”
ไป๋หลินกะพริบตาปริบ ๆ ราวกับกำลังไตร่ตรองคำของมารดา สุดท้ายจึงพยักหน้าหงึกหงัก พลางเอ่ยเสียงเบา “เจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้าจะเชื่อฟัง ต่อจากนี้จะพูดให้น้อยลง”