ตอนที่ 4 พี่ใหญ่กลับมาแล้ว
หยางก้าวไปข้างหน้าก่อนจะยื่นมือให้หญิงสาวจับ ขณะนางก้าวขึ้นบันไดเทียบม้า กู้หว่านชิงมองมือใหญ่ที่ยื่นมาให้ พลางเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาชั่วครู่ แววตาคู่นั้นลึกล้ำเสียจนอ่านความคิดไม่ออก
มือของเขาเย็นเฉียบ ทว่ากลับให้ความรู้สึกมั่นคงและหนักแน่น นางปล่อยให้ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนฝ่ามือแกร่งนั้นเบา ๆ ก่อนจะออกแรงก้าวขึ้นรถม้าอย่างสง่างาม
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางส่งยิ้มบางให้
หยางไม่ตอบ เพียงแต่พยักหน้ารับ ก่อนจะปล่อยมืออย่างรวดเร็ว ราวกับหวั่นเกรงว่าหากถือไว้นานกว่านี้ ใจของเขาคงสั่นไหวไปมากกว่านี้เสียแล้ว
กู้หว่านชิงจัดชายกระโปรงให้เรียบร้อย ก่อนจะนั่งลงบนเบาะบุผ้าหนานุ่ม กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของกำยานทำให้บรรยากาศภายในรถม้าผ่อนคลายขึ้น
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้ว หยางจึงหันหลังเดินไปนั่งบนที่นั่งด้านนอกกับสารถี มือแกร่งจับสายบังเหียนไว้มั่น ร่างสูงโปร่งนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองเส้นทางข้างหน้าอย่างเงียบงัน
“กลับจวน” เขากล่าวสั้น ๆ รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวไปอย่างนุ่มนวล ฝีเท้าของอาชาเหยาะย่างไปตามถนนที่ทอดยาว ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามราตรี มีเพียงเสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และเสียงสายลมอันแผ่วเบาที่พัดผ่านราวกับเสียงกระซิบของค่ำคืน
ภายในรถม้า กู้หว่านชิงเอนกายพิงพักสักครู่ นางเบือนสายตาไปทางม่านหน้าต่างที่ปลิวไหวเบา ๆ มองแสงไฟจากโคมระย้าตามทางที่ค่อย ๆ ไกลออกไป ดวงตาหญิงสาวฉายแววครุ่นคิด กับคำพูดของไป๋หลิน น้องสาวคนรักของนาง
ทันทีที่รถม้าหยุดลงตรงหน้าจวน กู้หว่านชิงก้าวลงมาอย่างสง่างาม แต่ก่อนที่เท้าของนางจะเหยียบพื้นดี สายตาก็พลันสะดุดกับภาพเบื้องหน้า
ประตูจวนเปิดกว้างออก ราวกับมีผู้รอคอยการกลับมาของนางอยู่ก่อนแล้ว บุรุษผู้หนึ่งยืนเด่นอยู่ตรงนั้น แต่งกายหรูหราสมฐานะ เส้นไหมทองที่ปักลงบนอาภรณ์ยามต้องแสงตะเกียง ดูราวกับแสงดาวระยิบระยับยามค่ำคืน
ชายหนุ่มยืนไพล่หลัง พลางทอดสายตามองไปเบื้องหน้า ราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง ทว่าเมื่อเสียงฝีเท้าของนางดังใกล้เข้ามา เขากลับหันขวับมาทันที
ทันทีที่ดวงตาของทั้งสองสบกัน กู้หว่านชิงก็ต้องชะงักไปชั่วครู่ ดวงหน้าของเขาราวกับถูกสลักขึ้นจากหยกขาว ขับให้ผิวพรรณของเขายิ่งดูงดงามไร้ที่ติ กระทั่งดวงตาสีดำล้ำลึกคู่นั้น ก็คล้ายจะซ่อนเร้นอะไรบางอย่างไว้
แต่แทนที่จะรู้สึกยินดี นางกลับรู้สึกถึงบรรยากาศตึงเครียดที่แผ่กระจายออกมาจากอีกบุคคลหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายของเขา บิดาของนาง เถ้าแก่กู้...กู้หนาน ชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าอันทรงอำนาจ
แม้ปกติจะดูสุขุมและใจดี แต่เวลานี้ดวงตาของเขากลับฉายแววกรุ่นโกรธ ยิ่งเมื่อเห็นนางลงจากรถม้ามาพร้อมกับหยาง สีหน้าของเขายิ่งเคร่งเครียดหนักกว่าเดิม “หว่านชิง เจ้าหายไปที่ใดมา! เสียงของเถ้าแก่กู้ดังก้องท่ามกลางความเงียบแห่งราตรี
กู้หว่านชิงรู้ดีว่าการกระทำของตนเป็นเรื่องผิด แต่แทนที่จะรีบกล่าวคำขอโทษ นางกลับพุ่งเข้ากอดชายหนุ่มตรงหน้าแน่น ดวงตาเป็นประกายพราวระยับด้วยความตื่นเต้นและความคิดถึงที่อัดแน่นอยู่ในใจ
“พี่ใหญ่! ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
เสียงหวานสั่นเครือเต็มไปด้วยความปีติ นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ไม่ได้พบกันกว่าสิบปี แม้กาลเวลาจะขัดเกลาให้ดูสุขุมและเคร่งขรึมขึ้นกว่าแต่ก่อน ทว่าดวงตาคู่นั้นยังคงอบอุ่นดังเดิม
“น้องเล็กล่ะ สบายดีหรือไม่?” น้ำเสียงของกู้ไฉเวยอ่อนโยนอย่างห้ามไม่อยู่ เขามองน้องสาวที่เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวเต็มตัว ใบหน้างามหมดจดยังคงมีเค้าความไร้เดียงสาเฉกเช่นวันวาน อีกทั้งยังร้องไห้งอแงเช่นเดิมไม่เปลี่ยน
กู้หว่านชิงพยักหน้าหงึกหงัก แต่แววตากลับสั่นไหวด้วยอารมณ์อันหลากหลาย นางยิ้มทั้งน้ำตา มือเล็กเอื้อมแตะสันกรามของพี่ชายเบา ๆ ที่ตรงนั้นมีรอยแต้มสีแดงเล็ก ๆ คล้ายปานที่นางจำได้ขึ้นใจ
“เป็นพี่ชายของข้าจริง ๆ ไม่ผิดแน่…” เพียงแค่สัมผัสรอยปานนั้น ภาพในอดีตพลันพรั่งพรูเข้ามาในความคิดของนาง
วันนั้น… วันที่ครอบครัวของพวกเขาแตกสลาย ท่านพ่อกับท่านแม่หย่าร้างกัน นางยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจสิ่งใด จำได้เพียงว่าในอ้อมแขนของมารดาเต็มไปด้วยข้าวของ และนางเองก็ร้องไห้จ้าไม่ยอมจากไป แต่พี่ชายกลับต้องจากบ้านไปพร้อมท่านแม่ ตั้งแต่นั้น… นางก็ไม่เคยได้รับข่าวคราวของเขาอีกเลย
ตอนเด็ก นางเฝ้ารอคอยด้วยความหวังว่าสักวันพี่ชายจะกลับมา แต่นานวันเข้า ความหวังนั้นก็ค่อย ๆ เลือนรางไปตามกาลเวลา จนกระทั่งวันนี้… วันที่นางไม่คิดว่าจะมาถึงจริง ๆ
พี่ชายของนางกลับมาแล้ว…
ขณะที่สองพี่น้องกอดกันแน่นด้วยความตื้นตัน กู้หนานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะส่งเสียงบ่นพึมพำ “สุขสบายอย่าบอกใคร ดูรูปร่างนางเจ้าก็รู้แล้วว่ากินอิ่มนอนหลับดีปานใด” เขาเหลือบตามองบุตรสาวของตนเองอย่างปลงตก
เด็กคนนี้ช่างอวบอิ่มเกินไปแล้ว แม้นางจะหน้าตางดงาม แต่รูปร่างเช่นนี้คงหาผู้ใดมาสู่ขอได้ยาก ยิ่งนางดื้อดึงประกาศกร้าวว่าหากมิได้แต่งกับไป๋เสวียน นางก็จะครองตัวเป็นโสดไปจนแก่เฒ่า ยิ่งทำให้กู้หนานรู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบเข้าไปใหญ่
เวลานี้ก็ค่ำมืดแล้ว แต่นางกลับยังดื้อรั้นถือสำรับมื้อค่ำไปส่งให้คนจวนนั้นอีก…เขาถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ สุดท้ายแล้ว เขาเป็นบิดาหรือเป็นผู้เสียผลประโยชน์กันแน่!
หยางยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูทางเข้าจวน ดวงตาคมทอดมองภาพความอบอุ่นเบื้องหน้าระหว่างพี่ชายและน้องสาวที่เพิ่งจะได้พบหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ทว่าหัวใจกลับบีบรัดแน่น ราวกับมีเงาอดีตอันเลือนรางคืบคลานเข้ามาหลอกหลอน
ในห้วงความคิดปรากฏภาพบางอย่างขึ้นมาวูบหนึ่ง ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นศีรษะจนเขาต้องขมวดคิ้ว ฝ่ามือหนายกขึ้นกดขมับแน่น พยายามบรรเทาความปวดร้าวที่ประดังเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ปวดหัวหรือ ปวดมากหรือไม่?” เสียงเถ้าแก่กู้ดังขึ้นด้วยความร้อนรน ร่างสูงของชายวัยกลางคนรีบก้าวเข้ามาหา สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย
หยางส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะข่มกลั้นความทรมานไว้แล้วตอบเสียงเรียบ “นายท่าน ข้าไม่เป็นไรขอรับ” แต่แท้จริงแล้ว มันเลวร้ายยิ่งกว่านั้น…
ความปวดร้าวคล้ายคลื่นซัดโถมจนแทบจะยืนไม่อยู่ เหงื่อเย็นผุดพรายบนหน้าผาก ขณะที่ปลายนิ้วมือเริ่มเย็นเฉียบ ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย ถึงจะเป็นอย่างนั้น ชายหนุ่มคนนี้ยังคงกัดฟันฝืนยืนมั่นคง เขาจะไม่ยอมให้คุณหนูและนายท่านกู้ต้องเป็นห่วง
ดวงตาลึกล้ำของหยางเหลือบมองไปยังร่างคนตัวเล็กที่กำลังเดินเกี่ยวแขนพี่ชายเข้าไปด้านในด้วยรอยยิ้มสดใส โชคดีที่เขาสวมหมวกกว้างและมีผ้าคลุมใบหน้าปิดบังเอาไว้… หากคุณหนูของเขาเห็นความผิดปกติ นางคงร้อนรนไม่ต่างจากเถ้าแก่กู้ เขาไม่อยากทำลายช่วงเวลาอันแสนอบอุ่นนี้
หยางกลั้นหายใจลึก ก่อนจะค่อย ๆ คลายฝ่ามือจากขมับ แม้ว่าอาการปวดจะยังไม่จางหาย แต่เขาก็ยังต้องยืนหยัดต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม...
ทว่า จางไฉเวย หรือกู้ไฉเวย บุตรชายคนโตของตระกูลกู้ และพี่ชายแท้ ๆ ของกู้หว่านชิงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “คนผู้นั้นเป็นใครกัน? ดูลึกลับเสียเหลือเกิน”