บทที่3:แผนร้ายใต้ความริษยา
หลายวันผ่านไปเงียบงัน
แต่ในความเงียบสงบนั้น... แผนการหนึ่งก็กำลังก่อตัวขึ้นอย่างลับ ๆ
หยางหรูหลัน
ไม่อาจกลืนความอัปยศจากเหตุการณ์ในตำหนักเย็นได้
ทุกถ้อยคำของอ๋องหานเยี่ยนยังคงหลอกหลอนนาง
และยิ่งท่าทีอ่อนโยนของพระองค์ที่มีต่อหลินซือเหยาเผยชัดขึ้นทุกวัน
...ความริษยาในใจของนางก็ยิ่งแผดเผา รุนแรงดั่งเปลวเพลิง
นางจึงเดินทางไปยังตำหนักของ องค์หญิงสี่สหายร่วมวัยผู้ทรงสิทธิ์ในราชสำนัก และมีใจเคืองหลินซือเหยาไม่ต่างกัน
“องค์หญิงเพคะ...”
หยางหรูหลันเอ่ยเสียงแผ่ว ขณะยอบกายถวายบังคม
“ข้าอยากจัดงานชมดอกไม้ เพื่อเฉลิมฉลองฤดูเหมยบาน
และอยากเรียนเชิญคุณหนูหลินซือเหยาจากแคว้นใต้ร่วมด้วย...”
องค์หญิงสี่ชะงักเล็กน้อย
ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“หึ... คุณหนูต่างแคว้น?
หรูหลัน เจ้ายังเก็บความอัปยศไว้ในใจหรือ?”
“ไม่ใช่เพียงข้า...”
หยางหรูหลันแค่นเสียงเบา แววตาแข็งกร้าว
“แต่ทุกคนในวังควรได้เห็นกับตา
ว่าหญิงจากแคว้นศัตรูเก่า หาได้สูงส่งหรือคู่ควรนัก”
ดวงตาขององค์หญิงสี่พลันวาววับด้วยความพึงใจ
รอยยิ้มยกขึ้นบนริมฝีปากแดงฉาน
“เช่นนั้น... เราจะทำให้ความทรงจำในงานชมดอกไม้ของนาง
กลายเป็นสิ่งที่นาง...ไม่อาจลืมไปชั่วชีวิต”
ภายในลานชมดอกไม้ของตำหนักองค์หญิงสี่
บรรยากาศชวนฝันถูกบรรจงจัดแต่งด้วยกลีบดอกเหมยที่ปลิดปลิวตลอดทั้งเช้า
เกี้ยวทองประดับผ้าโปร่งสีอ่อนลอยลม
เสียงบรรเลงเครื่องสายละมุนหู ราวกับงานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองฤดูที่งดงามที่สุดของเป่ยหมิง
หากแต่ภายใต้ภาพงามนั้น...
สายตาหลายคู่จับจ้องไปยังหญิงสาวจากแคว้นใต้
หลินซือเหยา
ในอาภรณ์สีขาวงาช้างเรียบหรู
มีเพียงปิ่นหยกสีเขียวที่ปักเกล้าผมไว้เท่านั้น
ที่เผยให้เห็นว่านางคือแขกจากแดนไกล มิใช่หญิงจากราชนิกูลเป่ยหมิง
นางเดินตามนางกำนัลเข้ามาอย่างสำรวม
แววตาสงบ ไร้ร่องรอยขลาดเขิน
แม้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศประหลาดรอบกาย
นางก็ยังคงยิ้มบาง
ทอดสายตาชื่นชมกลีบดอกเหมยที่ร่วงหล่นอย่างแช่มช้า
หยางหรูหลัน ที่นั่งอยู่เบื้องขวาขององค์หญิงสี่
เหลือบมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
ริมฝีปากคลี่ยิ้ม หากในดวงตากลับซ่อนคมเข็มใต้ผืนแพร
“คุณหนูจากแคว้นใต้ งามดุจน้ำค้างยามเหมันต์ยิ่งนัก”
เสียงไพเราะฟังราวคำชม หากจิตเจตนาแฝงเร้น
องค์หญิงสี่เพียงยิ้มลึก
ก่อนหันไปพยักเพยิดให้สาวใช้คนสนิท
“เช่นนั้น... ให้หล่อนมานั่งชมดอกเหมยตรงศาลากลางสระเถิด
ที่นั่นงดงามที่สุดในสวนนี้”
คำกล่าวฟังดูอ่อนโยน
หากนางกำนัลกลับรีบรุดออกไปนำทางทันที
...โดยไม่เปิดโอกาสให้หลินซือเหยาปฏิเสธ
ศาลาริมสระ เป็นศาลาหกเหลี่ยมงามสง่า
มีสะพานไม้ทอดยาวจากฝั่งไปยังตัวศาลา
สะพานนั้นดูราวลอยอยู่เหนือผืนน้ำใสสะท้อนกลีบดอกเหมยที่ร่วงหล่นไม่ขาดสาย
หากแต่ใต้พรมโปร่งบางที่ปูรองเท้าทับ...
กลับมีผงหินบดละเอียดโรยไว้บางเบา
...รอเวลาทำหน้าที่
หลินซือเหยาเดินช้า ๆ ตามนางกำนัล
เมื่อก้าวผ่านสะพานไม้
เสียงน้ำเบา ๆ ใต้ฝ่าเท้าแว่วเข้าหู
นางชะงักเล็กน้อย
เหลือบตากวาดมองรอบด้าน
ผู้คนบนฝั่งยังนั่งสนทนา บ้างชมดอกไม้ บ้างมองนาง...ราวกับรอดูบางสิ่ง
นางสูดลมหายใจแผ่ว
ยิ้มบาง ก่อนก้าวต่อไป
“เพียงก้าวไปอย่างมั่นคง
ไม่ว่าจะเป็นหลุมพรางหรือเปลือกน้ำแข็ง
ข้าก็จะผ่านมันไปด้วยตนเอง...”
ทว่า...
เมื่อเท้าข้างหนึ่งเหยียบพรมบางบริเวณหน้าศาลา
พื้นไม้ใต้ฝ่าเท้ากลับลื่นไถล
...ราวกับถูกเคลือบด้วยน้ำมัน
ชั่วพริบตานั้น
ร่างบางเสียหลัก
ถลาไปข้างหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว!
เสียงร้องเบา ๆ หลุดจากลำคอ
เสียงน้ำสาดกระจายดังก้องทั่วบริเวณ!
“คุณหนูซือเหยา!”
นางกำนัลอุทานเสียงหลง
ขณะที่สายตาทุกคู่หันขวับไปยังสระน้ำ
ร่างของหญิงสาวในชุดขาวดั่งหิมะ
กำลังจมหายลงในผืนน้ำเย็นเฉียบ
กลีบดอกเหมยลอยเกลื่อนน้ำ
อาภรณ์บางแนบเนื้อจนเผยให้เห็นร่างระหง
...งดงามราวภาพวาด และน่าเวทนาในคราเดียวกัน
“โอ๊ะตายจริง! นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
เสียงองค์หญิงสี่เอ่ยดัง หากไร้แววตระหนก
“คงเป็นเพราะศาลาเปียกน้ำนั่นเอง
รีบช่วยนางขึ้นมาสิ ก่อนจะหนาวตายอยู่ตรงนั้น”
“หรือไม่... คุณหนูหลินจากแคว้นใต้คงอยากแสดงว่ายน้ำให้ชมก็เป็นได้”
คำพูดของ หยางหรูหลัน ดังถัดมา
น้ำเสียงเหมือนล้อเล่น หากกลับจงใจเหยียบย่ำอย่างแหลมคม
เสียงซุบซิบที่เคยแผ่วกึกก้อง... กลับดับลงในพริบตา
แม้แต่เสียงกลีบเหมยที่ร่วงหล่น ยังฟังดูชัดเจนอย่างน่าประหลาด
ทุกสายตาเบิกโพลงเสียงซุบซิบยังไม่ทันจางลง
เสียงฝีเท้าหนักแน่นกลับดังแทรกเข้ามาอย่างชัดเจน
คล้ายกลบทุกถ้อยคำเหยียดหยันให้เงียบงันในชั่วอึดใจ
ขุนนางฝ่ายในและบรรดาคุณหนูทั้งหลายหันขวับ
ก่อนรีบลุกขึ้นยอบกายลงแทบพื้น
บางคนถึงกับทำถ้วยชาร่วงจากมือ
อ๋องหานเยี่ยน
ในฉลองพระองค์สีดำสนิท ยืนตระหง่านอยู่ตรงปลายสะพาน
สายตาคมปลาบมองตรงไปยังกลางสระ
...จุดที่หญิงสาวเพียงผู้เดียวตกลงไปและยังไม่ลุกขึ้น
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามาถึงตั้งแต่เมื่อใด
ไม่มีใครกล้ากล่าวทัก
พระองค์ก้าวไปข้างหน้า
ก้าวที่แม้เพียงแผ่วเบา...แต่เปี่ยมด้วยแรงกดดัน
“ถอดเสื้อคลุมของเจ้าออกเอามาคลุมให้นาง”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเย็นเฉียบ ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่ง
นางกำนัดผู้ติดตามรุดร้อนรีบถอดเสื้อคลุมส่งให้ทันที
อ๋องหานเยี่ยนรับไว้ ก่อนก้าวฉับ ๆ มายังขอบสะพาน
ไม่พูดคำใดเพิ่มเติม
เพียงยื่นมือออกไปตรงหน้านางที่ยังอยู่ในน้ำเย็นเฉียบ
หลินซือเหยา
แผ่นอกสะท้านเล็กน้อยจากความหนาว น้ำหยดจากเส้นผมระไปถึงขนตา
เงยหน้าขึ้นช้า ๆ...สบตากับเขา
มือของพระองค์ยื่นมาอยู่ตรงหน้า
นิ่งมั่น หนักแน่น และไม่เปิดทางให้ลังเล
เงารอบข้างเลือนหายไป
เหลือเพียงเขา กับนาง
“มา ข้าจะพาเจ้าขึ้นจากที่นี่เอง”
นางยกมือขึ้นอย่างช้า ๆ
นิ้วเรียวแตะลงบนฝ่ามืออบอุ่นที่รับไว้แน่นหนา
ในพริบตาเดียว
อ๋องหานเยี่ยนก็ดึงนางขึ้นมาจากสระอย่างง่ายดาย
จากนั้นถอดเสื้อคลุมที่ถือไว้คลุมรอบตัวนาง
...ห่มราวกับต้องการปกป้องไม่ให้สายตาผู้ใดได้มองอีก
ผู้คนรอบข้างเงียบกริบ
แม้แต่เสียงลมหายใจยังคล้ายหยุดชะงัก
พระองค์ไม่แม้แต่จะหันไปมององค์หญิงสี่หรือหยางหรูหลัน
“ใครเตรียมศาลานี้ไว้?”
เสียงถามเรียบเฉียบเอ่ยขึ้นลอย ๆ
บรรยากาศรอบงานชมดอกไม้ราวกับแช่แข็ง
นางกำนัลทุกนางหน้าซีดเผือด ไม่มีผู้ใดกล้าตอบ
องค์หญิงสี่หุบยิ้ม แววตาเริ่มกลอกกลิ้ง
หยางหรูหลันเบือนหน้าไปทางอื่น กัดริมฝีปากแน่น
อ๋องหานเยี่ยนก้มลงพูดเบา ๆ ข้างหูนาง
“หากหนาวนัก... เดี๋ยวข้าจะพาเจ้ากลับตำหนักเอง”
หลินซือเหยาเม้มริมฝีปากแน่น
นางไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าเบา ๆ
แล้วทั้งสองก็หมุนกายจากไป ท่ามกลางสายตาทั้งวังที่จับจ้องด้วยความตกตะลึง
ไม่มีใครกล้าขวาง ไม่มีใครกล้าเรียก ไม่มีใครแม้แต่จะกระพริบตา
ภาพของอ๋องหานเยี่ยนผู้ไม่เคยเอ่ยถ้อยคำหวานกับหญิงใด
ยอมเปียกน้ำเพื่อพาหญิงจากแคว้นศัตรูกลับไปด้วยตนเอง
...ได้ฝังลึกลงในหัวใจของผู้คนทุกคนในงานนี้
องค์หญิงสี่นั่งแข็งราวรูปปั้น
หยางหรูหลันกัดริมฝีปากจนแทบเลือดซึม
เพียงก้าวฉับตรงเข้าไปยังศาลาริมสระ...อย่างเงียบงัน
และเพียงสามก้าวก่อนพ้นเขตลานชมดอกไม้
เสียงของพระองค์จึงเอ่ยขึ้น
เรียบ เย็น และ... เยือกเย็นเกินจะละเลย
“ตำหนักองค์หญิงสี่... ปลดนางกำนัลทั้งหมดภายในสามวัน
ห้ามเข้าร่วมงานราชพิธีใด จนครบฤดูเหมยบาน”
เสียงของพระองค์ไม่สูง
แต่ดังกังวานชัดเจนในทุกถ้อยคำ
องค์หญิงสี่สะอึก
ไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้าลงโทษนางต่อหน้าสาธารณะเช่นนี้
“หยางหรูหลัน... ห้ามเข้าตำหนักใดในเขตในวัง
หากฝ่าฝืน... ข้าจะตัดฐานันดรเจ้าเอง”
หยางหรูหลันหน้าซีดเผือด
ดวงตาเบิกกว้าง
ริมฝีปากสั่นขณะคุกเข่าลงกลางหิมะ
...หากก็ไม่กล้ากล่าวอุทธรณ์แม้แต่คำเดียว
“ผู้ใดแตะต้องหลินซือเหยา...
เท่ากับแตะต้องเกียรติข้า”
เสียงทุ้มต่ำดั่งสายลมเหนือ
หากในหัวใจของทุกผู้คน
...มันคือคำเตือนที่หนักกว่าก้อนหินพันชั่ง
จากนั้น
พระองค์ก็ก้าวออกจากบริเวณงาน
ยังคงอุ้มหญิงสาวจากแคว้นใต้ไว้ในอ้อมแขน
ไม่กล่าวคำใดอีก
...ไม่มองผู้ใดอีก
และในวันนั้นเองข่าวเรื่องอ๋องหานเยี่ยนทรงอุ้มหญิงจากแคว้นศัตรูกลางงานชมดอกไม้
พร้อมสั่งลงโทษขุนนางหญิงสองตระกูล
ก็แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวงรวดเร็วยิ่งกว่าหิมะที่ตกโปรย
ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยนามหลินซือเหยาด้วยแววตาดูแคลนอีก
