บท
ตั้งค่า

บทที่ 2:ถ้อยคำอาบยาพิษ

ในยามสายของตำหนักเย็น

หิมะโปรยปรายบางเบาดั่งปุยนุ่น ขับบรรยากาศรอบตำหนักเย็นให้เงียบงันยิ่งกว่าเดิม

หญิงงามในอาภรณ์สีม่วงอ่อนเยื้องย่างเข้าสู่เขตตำหนักด้วยท่วงท่าสง่างาม

เบื้องหลังมีข้าหลวงติดตามสองนาง

“คุณหนูหยาง ห้ามเข้าไปข้างในตำหนักโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่านอ๋อง”

นางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยเตือนเสียงสุภาพ

หยางหรูหลัน ยกคิ้วเรียบนิ่ง ยิ้มบางพลางตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ข้ารับสั่งจากท่านราชครูให้นำบรรณาการจากเมืองชายแดนมาถวาย

แด่เจ้าหญิงต่างแคว้นผู้พำนัก ณ ตำหนักนี้

เจ้าคิดจะขัดคำสั่งของท่านราชครูหรือ?”

นางกำนัลชะงักเล็กน้อย ก่อนจำต้องหลีกทางให้

เมื่อหยางหรูหลันก้าวเข้าสู่ตำหนักเย็น แววตาไล่กวาดสำรวจไปทั่ว

บรรยากาศภายในเรียบง่ายไร้สิ่งฟุ่มเฟือย มิได้หรูหราดังที่เธอจินตนาการไว้

แสงแดดอ่อนลอดผ่านม่านบางสีขาว

ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสงบ

...หากแต่ใต้พื้นผิวนิ่งนั้น กำลังมีคลื่นใต้น้ำซัดกระเพื่อม

หลินซือเหยาออกมาต้อนรับอย่างสุภาพทันทีที่รู้ว่าแขกคือบุตรีของราชครู

“ข้าคือหลินซือเหยา ขอคำนับคุณหนูหยาง”

“ไม่ต้องมากพิธี”

หยางหรูหลันกล่าวเรียบ ๆ พลางมองนางจากศีรษะจรดเท้า

“ข้าเพียงมาส่งของแทนท่านบิดา ไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณหนูต่างแคว้น”

หลินซือเหยาเพียงยิ้มบาง ไม่มีท่าทีหวาดหวั่น

หยางหรูหลันยกถ้วยชาแนบริมฝีปาก

แต่สายตายังคงจับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ละวาง

“ข้าเคยได้ยินว่า... หญิงงามจากแคว้นใต้มีความสามารถหลายด้าน

ทั้งฟ้อนรำ บรรเลงพิณ...และรู้วิธีล่อลวงบุรุษอย่างแยบยล”

หลินซือเหยาเพียงยิ้มอ่อน

ไม่สะทกสะท้านต่อถ้อยคำกระทบกระเทียบ

“ท่านชมเกินไปแล้ว ข้ามิอาจเทียบชั้นคุณหนูหยางผู้สูงศักดิ์ได้เลย”

“ความสูงศักดิ์... หาใช่สิ่งที่ใครอยากมีก็มีได้”

หยางหรูหลันวางถ้วยชาดังเบา ๆ บนโต๊ะ

แววตาฉายความเหยียดหยัน

“บางคน... แม้ได้อยู่ในวังหลวง

กลับยังดูไร้รากเหง้าเช่นเดิม”

สายลมหนาวพัดกรูเข้าทางหน้าต่าง

แต่ก็ยังไม่อาจเย็นเยียบได้เท่าเสียงของนาง

“เจ้าคงลืมไปว่าเป่ยหมิง...ไม่ใช่บ้านเกิดของเจ้า

ที่นี่มีระเบียบ มีฐานันดร

มิใช่ที่ที่ใครอยากปีนสูงก็ปีนได้ตามใจชอบ”

ซือเหยายังคงสงบนิ่ง

น้ำเสียงของนางอ่อนโยน ทว่าแน่วแน่

“ข้าไม่เคยคิดจะปีน

เพียงแค่ยืนอยู่ในที่ของตนเงียบ ๆ

แต่กลับมีบางคน...หันมาผลักข้าเสียเอง”

หยางหรูหลันตวัดตามองทันควัน

ดวงตาวาวโรจน์ด้วยแรงริษยา

“อย่าทำเป็นใสซื่อ!

เจ้าอาจล่อลวงท่านอ๋องด้วยใบหน้าหวานนั่นได้

แต่ข้ารู้ดี...เจ้ามิใช่คนธรรมดา!”

“ท่านอ๋องต่างหากที่มีพระเมตตา

ข้าไม่มีวันกล้าคิดเกินตน”

ซือเหยาตอบเรียบ ๆ

ดวงตาหลบต่ำอย่างอ่อนน้อม

“นั่นสินะ...

เจ้าแค่ ‘ไม่กล้า’ ...แต่ไม่ได้แปลว่า ‘ไม่คิด’ ใช่หรือไม่?”

เสียงสนทนาเยียบเย็นราวน้ำแข็ง

คมยิ่งกว่าถ้อยคำใด

และในห้วงนั้นเองเงาร่างสูงในชุดคลุมสีดำเข้ม ก็ก้าวมายืนอยู่เงียบ ๆ หลังฉากบังตา

อ๋องหานเยี่ยน

เสด็จมาตรวจดูความเรียบร้อยของตำหนัก

แต่สิ่งที่ได้ยินกลับเป็นถ้อยคำอาบยาพิษ

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพระองค์มายืนอยู่นานเพียงใด

ริมฝีปากบางเม้มแน่น

ดวงเนตรใต้คิ้วคมฉายแววเย็นเยียบ...ปนเดือดจัด

“ถ้อยคำเหน็บแนมน่าชื่นชมนักหรือ... หยางหรูหลัน?”

สุรเสียงทุ้มต่ำดังก้องกลางห้อง

ราวเสียงฟ้าผ่าท่ามกลางหิมะเงียบ

หญิงสาวทั้งสองชะงัก

หยางหรูหลันหันขวับ ใบหน้าซีดเผือดทันควัน

“ทะ... ท่านอ๋อง?”

“หรือเจ้าหยิ่งนักจนลืมไปว่า ที่นี่...คือตำหนักของผู้ที่ข้าอนุญาตให้อยู่”

พระองค์ก้าวเข้ามาอย่างสงบ

แต่แรงกดดันแผ่ซ่านทั่วทั้งห้อง

“หากเจ้าว่างนักถึงขั้นต้องเที่ยวกล่าววาจาเสียดแทงผู้อื่น

เช่นนั้น...ก็ควรกลับไปสวดมนต์กับราชครูบิดาเจ้าเสียเถอะ”

หยางหรูหลันกัดริมฝีปากแน่น

พยายามรักษามาด แม้สีหน้าจะซีดเผือด

“หม่อมฉันเพียงมาเยี่ยมในนามราชครูเพคะ

ไม่มีเจตนาอื่นใดเลย...”

“หวังว่าเช่นนั้น”

เสียงของอ๋องหานเยี่ยนตัดบทเฉียบขาด

แววตาเย็นชาราวกับตัดทางสนทนาไว้ทั้งหมด

จากนั้น พระองค์หันมาทางหลินซือเหยา

ดวงตานุ่มลงอย่างเห็นได้ชัด

“มีผู้ใดล่วงเกินเจ้าอีกหรือไม่?”

ซือเหยาเพียงส่ายหน้าเบา ๆ

ไม่กล่าวคำใด

อ๋องหานเยี่ยนปรายตามองหยางหรูหลันอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

“กลับไปเสีย...ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”

หยางหรูหลันค้อมศีรษะอย่างอับอาย

หมุนกายจากไป แม้ภายนอกยังดูสง่างาม

หากภายในกลับพลุ่งพล่านด้วยเพลิงโทสะ

“เพคะ... ท่านอ๋อง”

เมื่อร่างนางพ้นออกจากตำหนักเย็น

แววตาคู่งามกลับวาววับราวเปลวเพลิงอาฆาตซ่อนลึกอยู่ภายใน

ภายในตำหนักเย็น เงียบสงัดลงอีกครั้งหลังเงาร่างของหยางหรูหลันจากไป

ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศตึงเครียดที่ยังไม่จางหาย

หลินซือเหยา ก้มศีรษะลงเล็กน้อย ขณะยืนเงียบอยู่กลางห้อง

อ๋องหานเยี่ยนมองนางเนิ่นนาน ก่อนก้าวเข้าใกล้ช้า ๆ

“เจ้าควรเรียกคน หากมีผู้ใดรบกวนเช่นนี้อีก”

เสียงของพระองค์ยังคงเรียบเย็น

แต่ทุกรายละเอียดในการเอ่ยนั้น แฝงความห่วงใยจนยากจะปิดบัง

หลินซือเหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

ดวงตาใสสบกับดวงเนตรคมคายของเขา

“ข้าไม่เป็นไรเพคะ... คำพูดนั้นไม่ได้ทำให้ข้าเจ็บเท่าไร”

อ๋องหานเยี่ยนนิ่งไปครู่

แววตาพลันไหววูบ

“คำพูด... อาจเจ็บได้มากกว่าดาบเสียอีก”

น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา ราวเป็นถ้อยคำที่หลุดจากส่วนลึกในพระทัย

หลินซือเหยานิ่งงัน

เพิ่งเคยได้ยินเสียงของเขาเช่นนี้ครั้งแรก

...ไม่เย็นชา ไม่ทรงอำนาจ หากแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก

อ๋องหานเยี่ยนถอนหายใจเบา ๆ ก่อนละสายตา

พระองค์เดินไปหยุดที่หน้าต่าง มองหิมะที่ยังคงตกโปรยลงอย่างไม่รู้จบ

“เป่ยหมิง... เป็นดินแดนที่ยากจะมีใครรักได้ง่าย ๆ

เต็มไปด้วยพิธีการ เย็นชา และเปล่าเปลี่ยว

ข้า...ก็เช่นกัน”

หลินซือเหยาเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนเอ่ยเบา ๆ

“หิมะ...แม้จะเย็นยะเยือก

แต่เมื่อตกต้องใจใครเข้าแล้ว ก็มักทิ้งร่องรอยไว้เสมอ”

คำพูดของนางเรียบง่าย ทว่าอ่อนโยนจับใจ

อ๋องหานเยี่ยนหันกลับมามองอีกฝ่าย

ภาพหญิงสาวในชุดขาวยืนท่ามกลางหิมะใต้ต้นเหมยคืนก่อน...

ผุดขึ้นในห้วงความทรงจำอีกครั้ง

พระองค์เดินกลับมาใกล้นาง แล้วหยุดลงตรงหน้า

กระแสลมหนาวลอดเข้ามาเบา ๆ จากบานหน้าต่าง แต่ภายในห้องกลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด

“หากผู้ใด...กระทำให้เจ้าต้องทุกข์ใจอีก

อย่าทนเงียบอีกเลย”

หลินซือเหยาเบือนหน้าลงเล็กน้อย

เสียงของพระองค์ในครานี้ ไม่ใช่คำสั่ง...

แต่เป็นคำขอที่แผ่วเบาเกินต้าน

“ข้า...จะจำไว้เพคะ”

นางตอบรับเสียงนุ่ม ดวงตาไหววาบด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แม้แต่นางเองก็อธิบายไม่ได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel