บทที่4: อ๋องหานเยี่ยมผู้เย็นชาต่อสตรีทั้งแคว้น
ภายในท้องพระโรงใหญ่
บรรยากาศเงียบขรึม ท่ามกลางกลุ่มขุนนางที่ยืนเรียงรายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พระจักรพรรดินั่งประทับเหนือบัลลังก์มังกร ทอดพระเนตรมาทางอ๋องหานเยี่ยนที่ยืนอยู่เบื้องล่างอย่างสงบ
“หานเยี่ยน... เจ้าเข้าใจหรือไม่ ว่าการลงโทษองค์หญิงสี่และบุตรีราชครูต่อหน้าผู้คน
คือการเหยียบย่ำเกียรติของราชวงศ์กลางลานหลวง!”
พระสุรเสียงเยียบเย็น ดังก้องไปทั่วโถงหินอ่อน
บางขุนนางถึงกับหลบตา ไม่กล้ารับสายพระเนตร
“เจ้าทำเกินตัวแล้ว! แม้นจะเป็นโอรส หากยังละเมิดขอบเขตของราชประเพณีเช่นนี้
วันหน้าจะมีหน้าไหนเคารพกฎในวังอีก!”
อ๋องหานเยี่ยนไม่ไหวหวั่น
พระองค์ยังคงยืนตรง แววตาเรียบเฉยดังเคย
“หม่อมฉันมิได้ทำเกินหน้าผู้ใด
หม่อมฉันเพียงปกป้องผู้ถูกกระทำ ด้วยความยุติธรรม
มิใช่เพราะฐานันดรของใครจะย่ำยีผู้อื่นได้โดยไร้โทษทัณฑ์”
เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง
หลายคนพยักหน้าเล็กน้อยอย่างไม่อาจปฏิเสธความจริงนั้นได้
แต่เสียงตักเตือนจากเบื้องบนยังไม่สิ้นสุด
“หลินซือเหยาเป็นเพียงหญิงต่างแคว้น แม้จะเป็นบรรณาการ
แต่เจ้าจะใช้เรื่องของนางเป็นเหตุเปิดศึกในราชสำนักเช่นนี้หรือ?”
จักรพรรดิทอดพระเนตรอย่างตำหนิ
น้ำเสียงมิใช่เพียงความกริ้ว หากแฝงด้วยความผิดหวัง
“เจ้ากล้าต่อว่าราชวงศ์ตนเองเพียงเพราะหญิงหนึ่งคน
เจ้าคิดว่าสิ่งนี้จะไม่กระทบต่อรากของอำนาจที่เรารักษามาเลยหรือ?”
อ๋องหานเยี่ยนเงยหน้าขึ้น
สายพระเนตรเยือกเย็นแน่วแน่
“หม่อมฉันเชื่อว่า ความยุติธรรม...ต่างหากที่เป็นรากแท้ของราชวงศ์
มิใช่ชื่อเสียงอันฉาบฉวย หรือเกียรติที่ถูกยัดเยียดด้วยความอยุติธรรม”
ทั้งท้องพระโรงเงียบกริบ
คำกล่าวนั้นแม้ไม่ใช่ถ้อยคำข่มพระบารมี
แต่หนักแน่นจนสะท้านใจผู้ฟัง
พระจักรพรรดิเม้มพระโอษฐ์แน่น
เงียบไปครู่ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“หากเจ้ายังเดินบนเส้นทางเช่นนี้ต่อไป...
เจ้าจะกลายเป็นคนอ่อนแอในสายตาผู้อื่น และนาง... จะกลายเป็นภัย”
อ๋องหานเยี่ยนตอบช้า ๆ
แต่ทุกคำชัดเจน
“หากการปกป้องผู้บริสุทธิ์คือความอ่อนแอ
เช่นนั้น...หม่อมฉันยินดีจะอ่อนแอต่อสายตาผู้คนเหล่านั้นทั้งสิ้น”
คำตอบสุดท้ายของพระองค์
แม้สงบนิ่ง แต่หนักพอจะทำให้จักรพรรดิสงบนิ่งตาม
พระพักตร์ของจักรพรรดิเครียดขึง
...หากในแววพระเนตรกลับแฝงร่องรอยลังเลบางอย่าง
และในห้วงเวลาที่ความเงียบกำลังปกคลุมท้องพระโรงองค์รัชทายาท ซึ่งเงียบมาตลอดทั้งการประชุม ก็ก้าวออกมาช้า ๆ
พร้อมยกมือขึ้นประนมคำนับอย่างสงบ
“เสด็จพ่อ... หม่อมฉันขอเอ่ยเพียงเล็กน้อย”
สุรเสียงขององค์รัชทายาทไม่ดังนัก
แต่มั่นคง พอจะลดแรงกระเพื่อมที่รุนแรงลงได้ในชั่วอึดใจ
“สิ่งที่หานเยี่ยนทำ... อาจเกินกรอบไปบ้าง
แต่หม่อมฉันเชื่อว่า หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้สำคัญกับเขายิ่งนัก
ก็ย่อมไม่เลือกเดินเส้นทางตัดตรงเช่นนี้”
องค์รัชทายาทเหลือบตามองน้องชาย
แววตาแฝงด้วยรอยยิ้มบางเบา... และความอ่อนโยนที่ไม่แสดงออกบ่อยครั้ง
นับแต่เด็กจนโต น้องชายของเขาไม่เคยยอมให้ใครเข้าใกล้
ยิ่งไม่เคยเปิดใจให้หญิงใดในวังหลวงแห่งนี้หรือกระทั้งแคว้นเป่ยหมิง
วันนี้...น้องชายของเขาได้รู้จัก ‘รัก’ เสียที” ย่อมทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ขุนนางบางคนเหลือบตามองอ๋องหานเยี่ยน ผู้ที่ยืนสงบนิ่งไม่เปิดเผยความรู้สึกใด
พระจักรพรรดิเงียบไปเนิ่นนาน
ก่อนจะผ่อนพระปรางลงช้า ๆ
“เจ้ารัชทายาท... เจ้ารู้หรือไม่ว่า
หากเจ้าน้องเจ้าเดินพลาดแม้เพียงครึ่งก้าว
ผู้หญิงคนนั้น...อาจพาไปสู่หายนะ”
องค์รัชทายาทยอบกายลึก
ดวงตาแน่วแน่และเปี่ยมความเคารพ
“หม่อมฉันเข้าใจดีพ่ะย่ะค่ะ
แต่ขอทรงเชื่อว่า... หญิงนางหนึ่งนั้นอาจไม่ใช่จุดอ่อนเสมอไป
บางครั้ง มันอาจเป็นสิ่งเดียวที่ยับยั้งสงครามได้ก่อนจะเริ่มต้น”
จักรพรรดิมิได้ตรัสตอบอีก
เพียงพยักหน้าช้า ๆ ราวกับยอมคลายมือที่กำพระอาญาไว้แน่น
“ไปเถิด... และอย่าทำให้ข้าต้องตำหนิเจ้าอีกในที่ประชุม”
อ๋องหานเยี่ยนยอบกายลึก
ก่อนหมุนพระวรกายออกจากท้องพระโรง
เงียบเช่นเคย... แต่คราวนี้
แผ่นหลังที่ดูเย็นชานั้น กลับมีบางสิ่งอุ่นขึ้นอยู่ในใจผู้มองเห็น
หลังเสร็จจากท้องพระโรง
ภายในระเบียงทอดยาวของตำหนักทิศตะวันตก
แสงโคมส่องริ้วเงาบนพื้นหินหยก เงาร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีคลุมน้ำเงินเข้มเดินนิ่งผ่านเสาไม้ทาสีแดงอย่างเงียบงัน
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนจะตามมาทันพร้อมเสียงทักที่แฝงรอยยิ้ม
“ข้าได้ยินว่า...น้องชายข้าผู้เย็นชาต่อหญิงทั้งเป่ยหมิง อุ้มสตรีกลางงานชมดอกไม้?
ช่างเป็นภาพงดงามยิ่งกว่าเหมยบานเสียอีก”
อ๋องหานเยี่ยนหยุดฝีเท้า
หันไปมองร่างที่เดินตามมา
องค์รัชทายาท ในอาภรณ์เรียบหรูตามแบบบุรุษในราชสำนัก
แต่สายตายังอ่อนโยนดังเช่นเคย
“หากเป็นผู้อื่น ข้าคงคิดว่าเรื่องพรรค์นี้เป็นเพียงข่าวลือไร้สาระไม่น่าฟัง
แต่น่าเสียดาย... คนผู้นั้นดันเป็นเจ้าหนิ หานเยี่ยน”
อ๋องหานเยี่ยนหรี่ตาลงเล็กน้อย
สีหน้าปราศจากความเปลี่ยนแปลง
แต่ปลายหูแดงนิด ๆ กลับเผยความรู้สึกที่ปิดไม่มิด
“ท่านก็เชื่อข่าวเล่าลือด้วยหรือ?”
“ไม่เชื่อได้อย่างไร ในเมื่อคนทั้งวังพูดกันจนข้ารำคาญหู
แล้วก็อดไม่ได้...ต้องมาถามเจ้าด้วยตนเอง”
องค์รัชทายาทหัวเราะเบา ๆ
ก่อนเดินขึ้นมายืนเคียงข้าง มองลานกว้างเบื้องหน้าที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน
“ข้าเพียงไม่คิดว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
ทั้งที่เมื่อก่อน...ขนาดสตรีในวังแม้จะงามเพียงใด เจ้ายังไม่ปลายตามอง”
อ๋องหานเยี่ยนนิ่ง ไม่ตอบ
เพียงทอดสายตามองหิมะเบื้องหน้าอย่างเงียบงัน
ครู่หนึ่ง... เขาจึงกล่าวช้า ๆ
“ข้าไม่ได้เปลี่ยน... ข้าเพียงแค่
พบใครบางคนที่ไม่อยากให้ต้องเจ็บเพราะความเย็นชาของข้าอีก”
องค์รัชทายาทชะงักเล็กน้อย
รอยยิ้มบนริมฝีปากพลันอ่อนโยนลง
“ดีแล้ว... โลกนี้มันวุ่นวายนัก หานเยี่ยน
หากเจ้ามีใครสักคนที่ทำให้เจ้ายอมวางดาบลงชั่วขณะได้
เจ้าควรรักษาเธอไว้ให้มั่น”
อ๋องหานเยี่ยนหลุบตาลง
ปลายนิ้วลูบปลายแขนเสื้อเบา ๆ
ราวกับระลึกถึงผิวอุ่นที่เคยสั่นไหวในอ้อมแขนเขา
“ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครแตะต้องนางอีก
ต่อให้ต้องแลกด้วยทุกสิ่งที่ข้ามี”
องค์รัชทายาทพยักหน้า
ใบหน้าสงบ ราวกับพี่ชายที่เฝ้ามองน้องชายคนเดิมในมุมที่ต่างออกไป
“ถ้าเช่นนั้น...คราวหน้าหากเจ้าจะอุ้มใครอีก
ช่วยเลือกที่เงียบ ๆ หน่อยเถอะ
ไม่ใช่กลางสวนในงานชมดอกไม้แบบคราวก่อน”
เสียงหยอกล้อสุดท้ายทำเอาอ๋องหานเยี่ยนปรายตา
ก่อนหันหลังเดินกลับอย่างไม่กล่าวคำใด
...แต่หากมองให้ดี
บนมุมปากที่เคยเฉยชานั้น
กลับมีรอยยิ้มบาง... ผุดขึ้นเพียงครู่เดียว
