บทที่1:บรรณาการแห่งแคว้นใต้
เสียงฆ้องชัย ดังกึกก้องสะท้อนทั่วผืนฟ้า ขบวนราชทูตแห่งแคว้นหนานหลิงเคลื่อนเข้าสู่ประตูวังหลวงเป่ยหมิง ท่ามกลางหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
และในรถม้าคันท้ายสุด... นางนั่งนิ่ง
หลินซือเหยา ในอาภรณ์ขาวสะอาด งดงามดุจหิมะแรกแห่งฤดู นางเงยหน้าขึ้น มองม่านบางเบาที่ไหวพลิ้วตามแรงลมหนาว
“หากบุญข้าถึง... คงไม่ต้องตายในแดนนี้”
เสียงพึมพำของนางแผ่วเบาราวสายลมฤดูเหมันต์
ณ หอประทานรับ บัลลังก์สูงเหยียดตระหง่านดั่งแท่นน้ำแข็ง อ๋องหานเยี่ยนประทับนิ่ง เฝ้ามองหญิงสาวผู้งดงามซึ่งถูกส่งมาแทนทองคำพันชั่ง
ดวงเนตรของพระองค์เรียบเฉยดุจผิวน้ำแข็ง ไร้เศษเสี้ยวของความรู้สึก
...แต่เพียงแรกสบตานาง
ประกายบางอย่างกลับไหววูบอยู่ลึกในแววตานั้น
“เจ้าชื่ออะไร”
สุรเสียงทุ้มต่ำ เย็นเฉียบดั่งลมเหนือเอ่ยถามอย่างไร้อารมณ์
“หลินซือเหยา... เพคะ”
นางตอบเสียงแผ่ว ก้มศีรษะนอบน้อม
อ๋องหานเยี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนตรัสโดยไม่แม้แต่จะชายตามองนางอีก
“ให้นางไปอยู่ตำหนักเย็น ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
แม้คำสั่งจะเฉียบขาดและเย็นชา...
แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าในยามราตรี
เขายืนอยู่บนระเบียงสูง เฝ้ามองแสงเทียนสลัวที่เล็ดลอดจากห้องของนาง... ตลอดทั้งคืน
ตำหนักเย็น ที่หลินซือเหยาอาศัยนั้นว่างเปล่า เงียบงัน ไร้ผู้รับใช้ ไร้เครื่องอำนวยความสะดวก
นางดูแลตนเองทุกอย่าง แม้จะบาดเจ็บจากการกวาดหิมะ มือแตกพอง... ก็ไม่เคยปริปากบ่น
ทุกค่ำคืน
อ๋องหานเยี่ยนมักผ่านมาแถวนั้นเสมอ
เงาร่างของนางนั่งพับผ้าเงียบ ๆ ในแสงจันทร์
มือเล็กแตะหิมะ แล้วถอนหายใจเบา ๆ
ทุกภาพนั้น
สะท้อนเข้าสู่หัวใจของเขาอย่างเงียบงัน
หัวใจที่เคยเย็นชา... เริ่มแตกร้าว
คืนหนึ่ง หิมะโปรยหนักกว่าคืนไหน ๆ
พระองค์เสด็จออกตรวจวัง หากสายตากลับเบนไปยังตำหนักเย็นเป็นแห่งแรก
และที่นั่น... ใต้ต้นเหมยแดง
ร่างบางในชุดขาวยืนสงบนิ่ง
“เหตุใดเจ้าไม่หลบอยู่ข้างใน”
เสียงของเขาเยือกเย็นดังลมเหนือ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นช้า ๆ
ใบหน้าแดงเรื่อเพราะลมหนาว หากดวงตากลับใสราวดวงดารายามราตรี
“ข้า... เพียงแค่อยากเห็นหิมะก่อนตาย”
ถ้อยคำของนางมิใช่คำประชดหรืออวดกล้า
หากเป็นความรู้สึกจากใจจริง อ่อนโยน ปล่อยวาง
คำพูดนั้น... ทำให้พระทัยสะท้าน
วันถัดมา
คนทั้งวังต่างตกตะลึงและเกิดความวุ่นวาย เมื่อมีพระบัญชา
“ห้ามผู้ใดเข้าใกล้ตำหนักเย็น หากมิได้รับอนุญาตจากข้า
และให้ส่งนางกำนัลกับผ้าห่มอุ่นไปให้หลินซือเหยา... เดี๋ยวนี้”
ไม่มีใครรู้...
ว่าในยามค่ำ พระองค์ส่งคนไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของนางเป็นประจำ
ว่าในวันที่นางล้มป่วยเล็กน้อย พระองค์ยืนนิ่งเงียบอยู่หน้าตำหนัก... ตลอดทั้งคืน
กระทั่งเช้าวันหนึ่ง
หลินซือเหยาเปิดเปลือกตาขึ้น พบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวสะอาดวางอยู่ที่ปลายเตียง
แนบด้วยแผ่นกระดาษเพียงหนึ่งแผ่น
“อย่าทำให้ข้าเป็นห่วงอีก”
แม้ตำหนักเย็นยังคงเงียบสงัด หากบัดนี้... ไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป
นางกำนัลสองคนเข้ามาดูแล
มีผ้าห่มอุ่น เครื่องหอม สมุนไพรชั้นดี และขนมจากครัวหลวงที่ล้วนเป็นของโปรดของนาง
ทั้งที่นางไม่เคยเอ่ยขอ...
แต่ทุกสิ่งนั้น ล้วนมาจากเขา
แม้จะไม่มีถ้อยคำใดแสดงออก
แม้ยังคงวางองค์เฉยชา...
แต่ทุกการกระทำกลับบอกชัดว่าเขาเฝ้ามองอยู่
กระทั่งวันหนึ่ง
พระองค์เสด็จมาด้วยพระองค์เอง โดยมิได้แจ้งผู้ใด
“ออกมาเดินกับข้า”
อ๋องหานเยี่ยนตรัสเรียบ ๆ ไม่แม้แต่ชายตามองหน้านาง
มือบางที่วางอยู่บนตัก กำแน่นเล็กน้อย
ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นตามรับสั่ง
สองร่างเดินเคียงกันใต้กลีบดอกเหมยที่โปรยปราย
“ข้าไม่คิดว่า... ท่านอ๋องจะทรงโปรดการพูดคุย”
เสียงของนางนุ่มนวลดุจสายลมต้นฤดู
พระองค์ชะงักเล็กน้อย
มุมปากกระตุกขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียบเฉยดังเดิม
“กับคนอื่น... ข้าไม่พูดหรอก”
“แล้วเหตุใดพระองค์จึงพูดกับข้า...”
“ข้าเอง...ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
คำตอบนั้นทำให้หลินซือเหยาเงียบงัน
หัวใจอุ่นวาบ โดยไม่ทันรู้ตัว
ใบหน้าแดงระเรื่อ...
ไม่แน่ว่า... เพราะลมหนาว
หรือเพราะ... ถ้อยคำของเขา
กลีบดอกเหมยปลิวว่อน ล่องลอยดั่งหิมะอ่อนสีชมพูจางเคล้ากับลมหนาวยามต้นฤดู
สองร่างยังคงเดินเคียงกัน โดยไร้ถ้อยคำ
กระทั่ง
“เมื่อยหรือไม่”
สุรเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเบา ๆ ข้างกายนาง
หลินซือเหยาชะงักก้าวเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้าช้า ๆ
“ไม่เพคะ ข้า...เคยเดินในหิมะยาวนานกว่านี้อีก”
อ๋องหานเยี่ยนพยักหน้ารับอย่างเรียบเฉย หากแววตาที่ทอดมองนางกลับมีบางสิ่งอ่อนลง
...บางสิ่งที่แม้ตัวเขาเองก็ไม่อาจเอ่ยออกมาได้
เขาก้าวเดินต่อ ทว่าเมื่อเห็นนางยกมือขึ้นลูบผ้าคลุมเล็กน้อยเพื่อกันลมหนาว แววตานั้นก็พลันเปลี่ยนไป
“ถ้าหนาว...ก็กล่าวมา ไม่ต้องอดทนให้ถึงตาย”
คำพูดนั้นยังคงเย็นชา หากทว่านางกลับยิ้มบาง ดวงหน้าอ่อนโยนประหนึ่งบุปผาแรกแย้ม
“ขอบพระทัยเพคะ...ที่ทรงเป็นห่วง”
อ๋องหานเยี่ยนไม่กล่าวอะไรต่อ เพียงหมุนกายเดินกลับตำหนักอย่างสงบ
หลินซือเหยาเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างของเขาเงียบ ๆ
...แม้ไม่หันกลับมา
...แม้ไม่มีถ้อยคำใดตามหลัง
แต่เพียงหนึ่งประโยคนั้น ก็เพียงพอให้หัวใจนางสั่นไหว
