บทที่ 8 จดทะเบียนฟ้าแลบ
บทที่ 8 จดทะเบียนฟ้าแลบ
คำตอบรับที่หนักแน่นของสวี่จิ้งอี ผนึกข้อตกลงที่บ้าคลั่งที่สุดในคอมมูนชิงซาน ลู่เฟิงไม่พูดอะไรอีก เขาหันกลับไปหาน้องทั้งสองที่ยังคงก้มหน้าก้มตากินซาลาเปาอย่างหิวกระหาย แม้แต่น้ำตาที่เปื้อนแก้มก็ยังไม่ทันได้เช็ด
"ลู่ซาน ลู่หลิง" เสียงของเขาแหบพร่า แต่เต็มไปด้วยอำนาจ เด็กทั้งสองชะงัก เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายอย่างหวาด ๆ
"กินเสร็จแล้ว ล็อกประตู" เขาสั่ง "ไม่ว่าใครมาเคาะ ห้ามเปิดเด็ดขาด จนกว่าพี่จะกลับไป"
"พี่ใหญ่จะไปไหน?" ลู่หลิงถาม ปากยังเคี้ยวตุ่ย ๆ
ลู่เฟิงมองไปที่สวี่จิ้งอี ผู้หญิงแปลกหน้าที่เพิ่งซื้อครอบครัวเขาด้วยซาลาเปาสามลูก "ไปทำธุระ ธุระสำคัญ"
“พี่ใหญ่! พี่จะแต่งงานกับพี่สาวคนสวยคนนี้เหรอ?” ลู่ซานถาม ปากเต็มไปด้วยซาลาเปาเนื้อ เปลี่ยนคำเรียกสวี่จิ้งอีทันที ลู่เฟิงไม่ได้ตอบน้อง แต่หันไปสั่งการอย่างรวดเร็ว
“หลิงหลิง อยู่กับซานซานอยู่ที่บ้าน ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด ล็อกประตูให้ดี ไม่ว่าใครมาเรียกก็ห้ามเปิด จนกว่าพี่จะกลับมา เข้าใจไหม?”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยอำนาจของผู้บังคับบัญชา เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างแข็งขันโดยไม่รู้ตัว
“เข้าใจแล้วค่ะ/ครับพี่ใหญ่!”
เขาหันไปคว้าไม้เท้าที่แท้จริงของเขา มันคือท่อนไม้เนื้อแข็งที่เขาเหลาเอง วางพิงไว้ที่มุมห้อง เขาก้าวออกจากประตู โดยไม่หันกลับมามอง สวี่จิ้งอีพยักหน้าให้เด็กทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะดึงลูกอมรสผลไม้ถุงใหญ่ออกมาจากใต้รักแร้อีกครั้ง เธอยื่นให้ลู่ซานที่เรียกเธอว่าพี่สาวคนสวย เขายิ้มแป้นให้เธอทันทีและกอดถุงลูกอมรสผลไม้แน่น ราวกับว่าเมื่อสักครู่เขาไม่ได้ว่าเธอเป็นพวกจือชิงขี้โกหก เขาถึงกับโบกมือบ๊าย ๆ ให้เธอตอนที่เธอจะหมุนตัวเดินตามแผ่นหลังที่กว้างขวางแต่โดดเดี่ยวของพี่ใหญ่เขาออกไป
ปัง!
เสียงประตูดินถูกปิดลง พร้อมกับเสียงลงกลอนไม้จากด้านใน ลมหนาวข้างนอกพัดกรรโชก สวี่จิ้งอีที่บัดนี้มีชุดลองจอนไฮเทคซ่อนอยู่ข้างในเดินอย่างมั่นคง ส่วนลู่เฟิง ทุกย่างก้าวของเขาเชื่องช้าและเจ็บปวด เขากะเผลก แต่หลังของเขาเหยียดตรง มันคือความหยิ่งทะนงสุดท้ายของทหารที่กำลังเดินไป ขายนามสกุลของตัวเอง
ขณะที่ทั้งสองเดินเงียบ ๆ ตามเส้นทางที่จะไปที่สำนักงาน เขาถามเสียงแหบพร่า คำถามนี้ไม่ได้ต้องการคำตอบว่าทำไมเธอถึงเลือกเขา แต่เป็นการถามย้ำกับตัวเอง ว่าทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลกกับคนอย่างเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ทำไมต้องเป็นฉัน?”
สวี่จิ้งอีมองลึกเข้าไปในดวงตาที่สับสนและเจ็บปวดของเขา และรอคอยคำตอบที่จะต้องเป็นคำพูดที่เธอสมเพชเขาและน้อง ๆ จึงได้เลือกเขา แต่สิ่งที่เธอตอบกลับทำให้ร่างกายของเขาสั่นไหวไปหมด
“เพราะคุณคือคนเดียวที่เหลืออยู่ ที่ยังไม่ยอมก้มหัวให้กับโชคชะตา” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและจริงใจ “ในหมู่บ้านนี้ ทุกคนยอมจำนนต่อความยากจนและความกลัว แต่คุณ แม้จะบาดเจ็บ แม้จะสิ้นหวัง แต่ในแววตาของคุณยังคงมีประกายไฟแห่งการต่อสู้หลงเหลืออยู่ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ”
คำพูดของเธอไม่ได้เป็นการเยินยอ แต่เป็นการยอมรับ การยอมรับในตัวตนของเขาที่ไม่มีใครเคยมองเห็นมาก่อน มันเหมือนน้ำเย็นที่ชโลมลงบนจิตใจที่ร้อนรุ่มของลู่เฟิง
“ซาลาเปา 3 ลูกนี้ มันเป็นแค่ หลักประกันชิ้นแรก และเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น”
ลู่เฟิงหลับตาลงช้า ๆ ภาพความทรงจำอันเลวร้ายไหลย้อนกลับเข้ามาในหัว ภาพน้อง ๆ ที่ร้องไห้เพราะความหิว ภาพตัวเองที่ต้องกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดที่ขาในคืนที่หนาวเหน็บ ภาพสายตาดูแคลนจากชาวบ้านและญาติพี่น้อง เขาไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว แต่สิ่งที่เขาสามารถได้กลับมานั้น มันคือทุกสิ่งทุกอย่าง เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ประกายไฟแห่งการต่อสู้ที่จิ้งอีมองเห็น บัดนี้ได้ลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรงจนน่าตกใจ
“เธอแน่ใจนะ... ว่าจะไม่เสียใจทีหลัง?” เขาถามเป็นครั้งสุดท้าย น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป มันเยือกเย็นและเฉียบคมราวกับคมดาบที่เพิ่งถูกชักออกจากฝัก “การผูกมัดตัวเองกับคนพิการที่ไม่มีอนาคตอย่างฉัน มันคือการเดิมพันที่โง่เขลาที่สุด”
สวี่จิ้งอียกยิ้มที่มุมปากอย่างเยือกเย็น “ในพจนานุกรมของฉัน ไม่เคยมีคำว่าเสียใจ” เธอกล่าว “มีแต่คำว่าเดินหน้าหรือทำลายล้าง”
แววตาของทั้งสองประสานกันกลางอากาศ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าสถิตวิ่งผ่านระหว่างคนทั้งคู่ มันคือการยอมรับซึ่งกันและกันของสองจิตวิญญาณที่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา
“ตกลง” ลู่เฟิงกล่าวออกมาในที่สุด คำพูดสั้น ๆ คำเดียว แต่หนักแน่นราวกับภูผา “ฉันจะแต่งงานกับเธอ”
เขาค่อย ๆ เดินมาหยุดตรงหน้าเธอ การเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าถูกถ่วงด้วยบาดแผลที่ขาขวา แต่มั่นคงอย่างน่าประหลาด เขาสูงกว่าเธอมาก ร่างกายที่ผอมแห้งแต่ยังคงไว้ซึ่งโครงสร้างที่แข็งแกร่งของทหาร บดบังแสงสลัวในกระท่อมจนหมดสิ้น นี่คือการเผชิญหน้าระหว่างพยัคฆ์บาดเจ็บกับฟีนิกซ์ที่ซ่อนปีก
เขาค่อย ๆ ยื่นมือขวาออกมาช้า ๆ ฝ่ามือที่ใหญ่ หยาบกร้าน และเต็มไปด้วยแผลเป็นจากการฝึกทหารและการทำงานหนักในไร่นา มันคือมือของนักรบที่เคยจับปืน บัดนี้ยื่นออกมาเพื่อจับอนาคต สวี่จิ้งอีไม่ลังเล เธอยกมือของเธอขึ้นวางทับมือใหญ่ของเขาทันที มือของเธอเล็กกว่าเขามาก แต่ไม่ได้อ่อนนุ่มเหมือนปัญญาชนทั่วไป มันคือมือเล็กที่หยาบกระด้าง มือที่แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นอย่างแนบเนียน วินาทีที่ผิวหนังของทั้งสองสัมผัสกัน มันไม่ใช่การจับมือ มันคือการ ผนึกสัญญา
ไม่มีความอ่อนหวาน ไม่มีประกายไฟแห่งความเสน่หา (?? หึหึหึ…) มีเพียงความเย็นเยียบของเหล็กกล้าสองชิ้นที่กระทบกัน และความหนักแน่นของคำมั่นสัญญาที่เดิมพันด้วยชีวิต มือใหญ่ที่แข็งแกร่งของลู่เฟิงกำรอบมือน้อยของเธอ ไม่ใช่การบีบ ไม่ใช่การฉวยโอกาส แต่คือการยอมรับข้อตกลง การยอมรับหุ้นส่วน และพันธมิตรเพียงหนึ่งเดียวของเขา
เขาอาจจะไม่มีอะไรจะเสีย แต่ในวินาทีนี้ เขากลับรู้สึกว่าเขากำลังได้บางสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้กลับมา ศักดิ์ศรี และ โอกาสที่จะสู้อีกครั้ง สวี่จิ้งอีดึงมือเธอกลับอย่างรวดเร็ว การเจรจาจบแล้ว
การเดินทางจากท้ายหมู่บ้านไปยังสำนักงานคอมมูน คือการเดินผ่านลานประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านที่กำลังทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่หน้าบ้าน หรือกลุ่มแม่บ้านที่กำลังนั่งจับกลุ่มนินทา ทุกคนหันมามอง ภาพที่พวกเขาเห็น มันเหนือจริง
"นั่น นั่นมันลู่เฟิงไม่ใช่เหรอ?" "ใช่! เจ้าทหารขาพิการนั่นแหละ แล้วนั่นใครเดินตามหลัง?" "นั่นมัน สวี่จิ้งอี! ปัญญาชนที่ป่วยใกล้ตายนั่นมิใช่หรือ พวกเขาจะไปไหนกัน!"
เสียงซุบซิบดังขึ้นราวกับฝูงผึ้งแตกรัง
"ฉันเห็นเธอเพิ่งเดินออกจากสำนักงานหัวหน้าหลี่เมื่อกี้นี้เอง ไม่ใช่เหรอ? หน้าซีด ๆ" "แล้วทำไมถึงได้ไปอยู่กับลู่เฟิงได้?" "ดูสิ พวกเขาเดินไปทางสำนักงานคอมมูนอีกแล้ว!"
ลู่เฟิงไม่สนใจ เขาจดจ่ออยู่กับการก้าวเดิน พยายามไม่แสดงความเจ็บปวดออกมา แต่ลมหนาวที่กัดกระดูกนั้นสาหัสเกินไปสำหรับร่างกายที่ติดเชื้อเรื้อรัง ทุกย่างก้าวที่เขากะเผลก คือความเจ็บปวดราวกับมีดบิดคว้านอยู่ใต้ผิวหนัง สันกรามของเขาขบแน่นจนนูนเด่น เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่ขมับ ทั้งที่อากาศเย็นจัด สวี่จิ้งอีที่เดินคู่มาเหลือบตามองเขา แค่สองสามครั้ง
สายตาของแพทย์ทหารที่ผ่านสมรภูมิ อ่านค่าความเจ็บปวดของเขาได้ชัดเจนยิ่งกว่าเครื่องตรวจวัด เธอเห็นกล้ามเนื้อไหล่ที่เกร็งตัวผิดธรรมชาติ เห็นจังหวะการหายใจที่สะดุดเล็กน้อย เห็นความพยายามที่สิ้นหวังของชายผู้หยิ่งทระนง ที่กำลังจะพ่ายแพ้ต่อร่างกายของตัวเอง
เธอไม่พูดอะไร เธอแค่ล้วงมือเข้าไปที่รักแร้อีกครั้ง การเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล ถูกบดบังด้วยแขนเสื้อตัวนอกที่เทอะทะ และครั้งนี้ สิ่งที่ออกมาคือ ยาแก้ปวดเม็ดสีขาวสองเม็ด พร้อมกับขวดน้ำพลาสติกขนาดเล็ก ที่ออกมาจากรักแร้เช่นกัน เธอหันไปยื่นให้เขา ขวดน้ำเย็นเฉียบ และเม็ดยาที่วางนิ่งบนฝ่ามือที่ซีดแต่กลับมั่นคง
"ยาแก้ปวด กินเสีย" มันไม่ใช่น้ำเสียงปลอบโยน แต่มันคือคำสั่งที่เด็ดขาด
ลู่เฟิงมอง ตามสายตาของเขาจับจ้องไปที่ยาแล้วเลื่อนไปยังขวดน้ำที่สะอาดใสนั้น ก่อนที่เขาจะเอียงคอมองเลยไปที่ด้านหลังของเธอ เขากำลังมองหา มองดูว่าเธอมีกระเป๋าอะไรแบกอยู่หรือไม่ ถึงได้ล้วงนั่นล้วงนี่ออกมาอยู่เรื่อย แต่เขาก็ไม่เห็นอะไร มีเพียงเสื้อกันหนาวตัวเก่า ๆ ปะชุนที่เธอสวมอยู่ ความลึกลับของผู้หญิงคนนี้มันน่ากลัว แต่มันก็มีประโยชน์
เขาแค่นเสียงในลำคอ ไม่ใช่การปฏิเสธ เขาหยิบยาแก้ปวดสองเม็ดที่อยู่ในมือของเธอ โยนเข้าปากพร้อมดื่มน้ำสะอาดที่เธอให้มาตาม น้ำที่ไม่มีกลิ่นสนิมเหล็ก น้ำที่ไม่มีรสฝาดเฝื่อนของน้ำต้ม และยาเม็ดที่บรรจุหีบห่ออย่างดีที่เพิ่งผ่านลำคอเขาไปคือของที่หาได้ยากจริง ๆ ในยุคนี้ ตอนนี้ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้เขาว่าเธอมีของที่จะช่วยเหลือได้จริง ๆ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แค่พูด
ทั้งสองไม่พูดอะไรกันอีก ต่างก็รีบเดินไปที่สำนักงานคอมมูนเพื่อเป้าหมาย นั่นคือ การจดทะเบียนสมรส!
ทั้งคู่ คนหนึ่งสูงใหญ่แต่พิการ อีกคนผอมบางแต่แววตาดุดัน เดินฝ่าทุกสายตาที่อยากรู้อยากเห็น จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าสำนักงานคอมมูนอีกครั้ง
ปัง! เสียงทุบโต๊ะดังลั่นออกมาจากข้างใน
"สารเลว! บังอาจมาหยามฉันถึงถิ่น! คิดว่าตัวเองเป็นใคร!"
หลี่เจี้ยนกั๋วกำลังอาละวาด เขายังคงเดือดดาลไม่หายจากการที่ถูกสวี่จิ้งอีปฏิเสธและเดินเชิดหน้าออกไป เสมียนที่ทำหน้าที่จดทะเบียนกำลังนั่งตัวลีบอยู่ที่โต๊ะ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
แอ๊ด... ประตูไม้ถูกผลักเปิดออกโดยไม่รอให้มีการขานรับ
หลี่เจี้ยนกั๋วที่กำลังจะขว้างถ้วยชาทิ้งชะงัก เขาหันขวับมาพร้อมจะพ่นไฟ
"สวี่จิ้งอี! เธอกลับมาอีกเหรอ! คิดจะกลับมาคุกเข่าอ้อนวอนฉันรึไง!"
แต่คำพูดของเขาค้างเติ่งอยู่ตรงนั้น เพราะคนที่เดินเข้ามาไม่ใช่แค่สวี่จิ้งอี ลู่เฟิงก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ร่างสูงใหญ่ของเขาบดบังแสงและนำพาไอสังหารที่เย็นเยียบเข้ามาด้วย เขากะเผลก แต่ทุกย่างก้าวหนักแน่น
"ลู่... ลู่เฟิง?" หลี่เจี้ยนกั๋วขมวดคิ้วมุ่น "แกมาทำอะไรที่นี่! นี่ยังไม่ถึงวันปันส่วนเสบียง!"
สวี่จิ้งอีไม่มองหน้าหลี่เจี้ยนกั๋วแม้แต่น้อย เธอเดินผ่านหน้าจิ้งจอกเฒ่าที่กำลังงุนงง ตรงไปยังโต๊ะของเสมียน เธอยื่นเอกสารประจำตัวจือชิงของเธอวางลงบนโต๊ะ
"สหายเสมียน" เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "พวกเรามาจดทะเบียนสมรส"
****มันเหมือนมีความเย็นชาของทั้งคู่ แต่ก็เหมือนมีประกายไฟที่รอวันปะทุ..ไม่มีประกายความเสน่หารึ เดี๋ยวเถอะ!! ท้าทายไรท์อย่างนั้นรึ…หึหึหึ....****
