บทที่ 7 พี่ใหญ่พวกเรารับมันได้ไหม?
บทที่ 7 พี่ใหญ่พวกเรารับมันได้ไหม?
"และสอง ฉันเป็นหมอ!!!"
คำประกาศที่ชัดเจนและหนักแน่นนั้น ก้องอยู่ในบ้านดินที่เงียบงัน ความเงียบที่หนักอึ้งโรยตัวลงมา
วินาทีต่อมา "ฮึ"
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากลำคอของลู่เฟิง มันไม่ใช่เสียงหัวเราะที่ร่าเริง แต่เป็นเสียงแค่นที่เย็นชาและสมเพชที่สุดเท่าที่สวี่จิ้งอีเคยได้ยิน เขาหัวเราะราวกับได้ยินเรื่องตลกที่ไร้สาระที่สุดในโลก
"หมอ?" เขาทวนคำ กวาดสายตาที่ว่างเปล่าของเขามองเธออีกครั้ง "ในกระท่อมจือชิงนั่นน่ะนะ? ที่นั่นเขาสอนวิธีร้องไห้คร่ำครวญ ไม่ใช่วิธีรักษาคน"
เขาเหยียดหยามปัญญาชนเหล่านี้จนถึงกระดูก พวกอ่อนแอที่ทำได้แค่บ่นว่าหิวและหนาว สวี่จิ้งอีไม่โกรธ เธอไม่จำเป็นต้องโกรธ วินาทีที่เขาปฏิเสธ แววตาของเธอก็เปลี่ยนไป หากก่อนหน้านี้คือแววตาของนักเจรจา ตอนนี้มันคือแววตาของศัลยแพทย์ มันเย็นชา คมกริบ ปราศจากอารมณ์ และกำลังผ่าเขาทั้งเป็น
"คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อฉัน" สวี่จิ้งอีกล่าว น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไปเช่นกัน มันกลายเป็นเสียงวินิจฉัยที่ราบเรียบและเด็ดขาด "แต่ฉันจะบอกคุณว่าฉันเห็นอะไร"
ลู่เฟิงกำลังจะพูดแทรก แต่เขาก็ต้องชะงัก สายตาของเธอมันน่ากลัว มันไม่เหมือนสายตาของผู้หญิง มันเหมือนเครื่องสแกน
"คุณยืนพิงวงกบประตู" เธอเริ่ม "แต่น้ำหนักตัวทั้งหมดทิ้งไปที่ขาซ้าย ขาขวาของคุณ คุณกำลังพยายามซ่อนมัน แม้แต่ตอนนี้"
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของลู่เฟิงกระตุก เขายืนตัวตรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งยิ่งทำให้เขาต้องทิ้งน้ำหนักไปที่ขาซ้ายมากขึ้น
"มันไม่ใช่แค่ขาพิการธรรมดา" สวี่จิ้งอีไม่เปิดโอกาสให้เขาได้เถียง สายตาของเธอไล่จากต้นขาของเขา ลงไปยังข้อเท้าที่ซ่อนอยู่ในกางเกงเก่า ๆ "มันคือบาดแผลจากการสู้รบ ไม่ใช่กระสุน แต่เป็นสะเก็ดระเบิด"
!!!
ดวงตาที่ว่างเปล่าของลู่เฟิงเบิกกว้างขึ้นเป็นครั้งแรก! ความเย็นชาสลายไป ถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึงอย่างรุนแรง เธอรู้ได้ยังไง?
"กระสุนจะทิ้งรอยแผลเป็นแบบเดียวที่ชัดเจน แต่การยืนที่ผิดรูปของคุณ มันบอกว่ากล้ามเนื้อและเส้นเอ็นถูกฉีก เป็นบริเวณกว้าง ลักษณะของสะเก็ดระเบิดชัด ๆ"
เธอไม่หยุด นี่คือการรุกทางการแพทย์ "และมันไม่ใช่แผลใหม่ มันติดเชื้อเรื้อรัง"
เธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ดวงตาที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความระแวดระวัง "ทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยน อากาศเย็นหรือฝนตก คุณจะปวดจนแทบคลั่ง แต่คุณทน"
เธอเหลือบมองมือของเขาที่กำลังกำแน่นอยู่ข้างลำตัว
"ข้อนิ้วของคุณซีดกว่าปกติและมีเหงื่อซึมที่ฝ่ามือทั้งที่อากาศหนาว มันคือสัญญาณของความเจ็บปวดเรื้อรังที่ร่างกายพยายามชดเชย ร่างกายของคุณกำลังสู้รบตลอดเวลา"
เธอขยับเข้าไปใกล้หนึ่งก้าว ก้าวเข้าสู่อาณาเขตส่วนตัวของเขาอย่างอุกอาจ กลิ่นหอมสะอาดจาง ๆ ที่ไม่เข้ากับยุคสมัยนี้ปะทะเข้าจมูกของเขา
"และถ้าฉันเดาไม่ผิด" เธอกระซิบเสียงเย็น
"คุณมีไข้ต่ำ ๆ ทุกคืน นอนไม่หลับและเบื่ออาหาร ใช่ไหม?"
เปรี้ยง!!!
มันเหมือนกับมีฟ้าผ่าลงกลางบ้าน ทุกคำทุกประโยค มันถูกต้องทั้งหมด! ถูกต้องจนน่าขนลุก! นี่ไม่ใช่การเดา นี่คือการวินิจฉัย เขาคือทหารที่ถูกปลด เขาไปหาหมอเท้าเปล่า ไปโรงพยาบาลในอำเภอ ไม่มีใครเคยอธิบายอาการของเขาได้ชัดเจนเท่าผู้หญิงคนนี้ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที! ความรู้สึกที่ถูกอ่านทะลุปรุโปร่งทำให้ลู่เฟิงโกรธ ความโกรธที่เกิดจากความกลัวและการถูกเปิดเปลือย
"เธอเป็นใครกันแน่?" เขาคำรามเสียงต่ำ รัศมีสังหารที่เขาพยายามกดไว้แผ่ออกมา "เธอเป็นสายลับ ถูกส่งมาสืบเรื่องฉัน ใช่ไหม!"
นี่คือข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุดในยุคนี้ แต่สวี่จิ้งอีไม่สะทกสะท้าน เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับความเกรี้ยวกราดของเขา
"ฉันบอกคุณแล้วไง" เธอยิ้ม รอยยิ้มที่เย็นชาและมั่นใจที่สุด
"ฉัน…เป็น…หมอ!!"
เธอมองไปที่ขาของเขา ก่อนจะทิ้งระเบิดลูกสุดท้ายที่หนักหน่วงที่สุด
"และในฐานะหมอ ฉันจะบอกคุณให้ ถ้าคุณไม่ผ่าตัดเอาสะเก็ดระเบิดชิ้นที่ฝังลึกที่สุดนั่นออกภายในหกเดือน ขาขวาของคุณจะต้องถูกตัดทิ้ง"
ตัด ทิ้ง!!
คำพูดนั้นกระแทกเข้าใส่ลู่เฟิงจนหน้าชา เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว และเกือบจะล้มลง
"พี่!" "พี่ใหญ่!"
เสียงเล็ก ๆ สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ลู่หลิง น้องสาว และลู่ซาน น้องชาย ที่หลบอยู่ ตอนนี้วิ่งออกมากอดขาซ้ายของพี่ชายไว้แน่น ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
"พี่ ผู้หญิงคนนี้น่ากลัว" ลู่หลิงกระซิบทั้งน้ำตา
"พี่! อย่าไปเชื่อเธอ!" ลู่ซานตะโกน แม้เสียงจะสั่น
"เธอโกหก! พวกจือชิงขี้โกหก!"
เสียงของเด็ก ๆ ดึงสติของลู่เฟิงกลับมา เขาไม่ใช่แค่ตัวคนเดียว เขายังมีน้อง สวี่จิ้งอีมองภาพนั้น หน้ากากศัลยแพทย์สลายไป กลับมาเป็นนักเจรจา เธอรู้ว่าเธอชนะแล้ว แต่การเจรจานี้ยังขาดหลักประกันที่จับต้องได้ เธอหันไปมองเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ลู่หลิง ที่กำลังจ้องมองเธอด้วยความกลัวและเกลียดชัง สวี่จิ้งอีไม่พูดอะไร เธอแค่ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อที่กว้างของเธอ แสร้งทำเป็นหยิบของจากกระเป๋าเสื้อด้านในที่ซ่อนอยู่
และเมื่อเธอแบมือออก สิ่งที่ปรากฏในมือเธอไม่ใช่ยา มันคือซาลาเปาลูกใหญ่ขาวอวบที่ส่งไอร้อนจาง ๆ ลอยกรุ่นขึ้นจากผิวแป้งที่นุ่มฟู ในอากาศที่หนาวเหน็บของบ้านดิน ซาลาเปาลูกนี้ที่ยังอุ่นคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ผิดที่ผิดทางที่สุด
มันคือซาลาเปาไส้เนื้อที่เธอสั่งจากร้านชื่อดังในปักกิ่งปี 2025 เธอสั่งมาเกือบ 5,000 ลูก และตอนนี้พวกมันหลับใหลอยู่ในมิติของเธอ ในยุค 1975 ยุคที่ข้าวต้มใสจนนับเม็ดข้าวได้ ซาลาเปาสีขาวบริสุทธิ์ลูกนี้คือทองคำ
เสียงตะโกนของลู่ซานและเสียงสะอื้นของลู่หลิงหยุดชะงักทันทีราวกับมีคนกดปุ่มปิดเสียง กลิ่นหอมของแป้งที่นึ่งสุกใหม่ ผสมกับกลิ่นเนื้อสับและเครื่องเทศจาง ๆ ที่ลอดออกมา มันคือกลิ่นหอมที่ทรมานที่สุดในโลกสำหรับเด็กที่หิวโหย ดวงตาของเด็กทั้งสองเบิกกว้าง ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่ด้วยความตะลึงงัน เสียงกลืนน้ำลายดัง "เอื๊อก" อย่างชัดเจน สวี่จิ้งอีย่อตัวลงช้า ๆ การกระทำนี้ทำให้เธอดูอันตรายน้อยลง เธอยื่นซาลาเปาลูกนั้นไปข้างหน้า ไม่ใช่ให้ลู่เฟิง แต่ให้ลู่หลิง
"ฉันไม่ได้โกหก" เสียงของเธออ่อนลง "ฉันบอกแล้วไงว่าฉันมี 'อาหาร'"
ลู่หลิงตัวสั่น เธอมองหน้าพี่ชายแล้วมองซาลาเปา ความหิวโหยเอาชนะความกลัว ลู่เฟิงมองร่างเล็ก ๆ ทั้งสองที่ผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แววตาของเขายากที่จะบรรยาย และเมื่อเจ้าก้อนน้อยทั้งสอง ลู่หลิง และ ลู่ซาน เงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งคู่ สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ความโหยหา หิวโหย และคำถามที่ไม่ได้เปล่งเสียง
'พี่ใหญ่ เรารับมันได้ไหม?'
คำถามนั้นคือค้อนที่ทุบทำนบในใจของลู่เฟิงจนพังทลาย เขาถึงกับน้ำตาคลอ ขอบตาของทหาร ผู้นี้ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม ความเจ็บปวดจากขาที่พิการเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดในอกของเขาตอนนี้ ความอัปยศ ความอยุติธรรม ความอดอยากหิวโหยของน้อง ๆ มันถาโถมเข้าใส่เขาราวกับคลื่นยักษ์ ภาพในอดีตฉายชัดขึ้นมาในสมอง วันที่แม่ของพวกเขาเสียชีวิต วันที่พ่อพาผู้หญิงคนใหม่เข้าบ้าน ผู้หญิงคนนั้น แม่เลี้ยงที่มีลูกติดของตัวเอง นางยิ้มให้คนนอก แต่มองพวกเขา เด็กกำพร้าแม่สามคน ด้วยสายตาที่เย็นชาและรังเกียจ
"พวกแกมันตัวขาดทุน"
"มีปัญญาเกิดแต่ไม่มีปัญญารอด"
"ทำไมไม่ตายตามแม่แกไปด้วยนะ!"
คำพูดร้ายกาจสารพัดเหล่านั้นยังคงก้องอยู่ในหู วันสุดท้าย วันที่พ่อของเขา ชายที่ควรจะปกป้องพวกเขา เลือกที่จะละทิ้ง เขายืนนิ่ง ปล่อยให้เมียใหม่ไล่ลูก ๆ ของตัวเองออกจากบ้านในวันที่หิมะตกหนัก เพียงเพื่อความสงบในครอบครัวใหม่ของเขา กับนาง ลู่เฟิงในตอนนั้นที่เพิ่งกลับจากกองทัพ ทำได้เพียงจูงน้องชายคนเล็ก น้องสาวคนรอง เดินออกมาจากสถานที่ที่เคยเรียกว่าบ้าน ศักดิ์ศรีของทหาร ถูกบดขยี้ด้วยความหิวโหยของน้อง ๆ
เขาพยายามแล้ว เขาพยายามอย่างที่สุดแล้ว เขาทำงานหนัก แต่ขาที่เจ็บทำให้เขาได้คะแนนงานไม่พอประทังชีวิต เขาล่าสัตว์ แต่ป่าในหน้าหนาวมันโหดร้าย เขามองน้อง ๆ ผอมลงทุกวัน ทุกวัน และวันนี้ ซาลาเปาลูกนี้ที่มาจากผู้หญิงแปลกหน้า มันคือสัญลักษณ์ของความล้มเหลวของเขา มันคือสิ่งที่ครอบครัวควรจะมอบให้พวกเขา! ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจพยักหน้าเบา ๆ ให้น้องเล็กที่มองเขา ราวกับรอคอย
มือเล็ก ๆ ที่ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของลู่หลิง สั่นสะท้านเมื่อค่อย ๆ ยื่นออกมาคว้าซาลาเปาลูกนั้นไป เธอกัดมัน คำใหญ่ แป้งที่นุ่ม ไส้เนื้อทะลักที่ชุ่มฉ่ำ น้ำตาของเด็กน้อยไหลออกมาอีกครั้ง แต่นี่คือน้ำตาแห่งความสุข เสียงสะอื้นเล็ก ๆ ที่พยายามกลั้นไว้ ดังขึ้นพร้อมกับการเคี้ยวอย่างมีความสุข เธอหันไปยื่นให้พี่ชายคนรอง
"อร่อย!!พี่ใหญ่ พี่รอง อร่อย!! มันอร่อยมาก ฮื่ออ…"
คำพูดนั้นคือมีดเล่มสุดท้ายที่แทงทะลุหัวใจของลู่เฟิง เขากัดกรามแน่น จนสันกรามสั่นสะท้าน น้ำตาที่เขาพยายามกลั้นไว้ ไหลลงมาหนึ่งสายช้า ๆ นี่คือน้ำตาของความอัปยศและความโล่งใจที่ปะปนกันจนแยกไม่ออก
"พี่…พี่ใหญ่.." ลู่ซานมองตาไม่กะพริบ น้ำลายไหลยืด เขาหันมาดึงขากางเกงพี่ชาย
"ผม...ผมก็หิว" เขาหันไปมองซาลาเปาในมือน้องสาว อยากกินด้วยแต่ก็กลัวน้องไม่อิ่ม
สวี่จิ้งอีไม่ลังเล เธอล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้ง วูบ! ซาลาเปาที่ขาวอวบและยังอุ่นปรากฏขึ้นอีกสองลูกราวกับมายากลที่ไม่มีที่สิ้นสุด เธอโยนลูกหนึ่งให้ลู่เฟิง และยื่นลูกสุดท้ายให้ลู่ซาน
"กินซะเด็กน้อย กินตอนร้อน ๆ มันอร่อยมาก"
ชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในบ้าน ที่กำลังยืนตัวสั่น ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด แต่เพราะความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินบรรยาย เขาคือทหารที่ถูกปลด เขาถูกต้อนจนมุมด้วยการวินิจฉัย และตอนนี้เขากำลังถูกซื้อด้วยซาลาเปา สามลูก
ลู่เฟิงมองซาลาเปาในมือ เขามองน้อง ๆ ที่กำลังกินอย่างมูมมามราวกับกลัวว่ามันจะหายไป เขามองกลับมาที่สวี่จิ้งอี ผู้หญิงที่ผอมแห้ง แต่แววตากลับนิ่งและลึกจนน่ากลัว เธอไม่ใช่ลูกไก่ เธอคือพญาอินทรีที่ซ่อนปีก
"เธอ" เขาพูดเสียงแหบพร่า เสียงที่สั่นเครือจากอารมณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น
"เธอ มีอีกไหม?"
มันไม่ใช่คำถามที่ถามถึงซาลาเปา มันคือคำถามว่าเธอมีปัญญาเลี้ยงดูพวกเขาจริง ๆ ใช่ไหม? สวี่จิ้งอียืนขึ้นเต็มความสูง รอยยิ้มที่แท้จริง ที่คมคายและเย้ยหยันโชคชะตา ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ
"มี มีมากจนพวกคุณเบื่อนั่นแหละ"
พูดเสร็จก็ล้วงเข้าไปในเสื้ออีก แล้วคราวนี้สิ่งที่เธอนำออกมาคือน้ำเต้าหู้อุ่น ๆ 3 ขวด เด็ก ๆ คว้าเอาไว้และดื่มทันที น้ำเต้าหู้ที่เธอนำมามีรสหวานด้วย ทำให้ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย เธอยื่นขวดสุดท้ายให้เขา ลู่เฟิงจ้องเธอเนิ่นนาน วินาทีนั้นเขาตัดสินใจเดิมพัน ผู้หญิงคนนี้อันตราย แต่การไม่ทำอะไรเลยคือความตายที่แน่นอน
เขาพยักหน้าเพียงครั้งเดียว พลางยื่นมือไปรับขวดน้ำเต้าหู้อุ่น ๆ ที่เธอนำออกมาจากรักแร้ของเธอ และเป็นการพยักหน้าที่เด็ดขาดแบบทหาร
"ตอนที่สำนักงานคอมมูนเปิดอยู่ ไปกันตอนนี้เลยไหม?"
สวี่จิ้งอียกมุมปากขึ้น "ไปตอนนี้เลย!!!"
***เรียบร้อยผู้ชายตกลงแล้วด้วยซาลาเปา 3 ลูก น้ำเต้าหู้ 3 ขวด การเจรจาแต่งงานสำเร็จ 555***
