บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 บีบบังคับ

บทที่ 5 บีบบังคับ

แคร่ก แคร่ก!! คราวนี้มันคือของจริง กลิ่นดินและกลิ่นเขียวฉุนของสมุนไพรสดลอยฟุ้งไปทั่ว หลักฐานของเธอ สมบูรณ์แบบ เป็นการยืนยันว่าเธอได้ออกไปหายามาจริง ๆ เธอนั่งลงข้าง ๆ จ้าวหมิ่นที่หลับสนิท วางถ้วยยาหลักฐานไว้ข้างเตียงอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้ แค่รอเวลาให้ยาปฏิชีวนะจากอนาคตทำงานของมัน

เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้จ้าวหมิ่นกินมัน จ้าวหมิ่นหลับลึกเกินไปแล้ว เธอแค่ป้ายคราบสมุนไพรสีเขียวช้ำ ๆ นั้นไว้ที่ริมฝีปากแห้งแตกของจ้าวหมิ่นเล็กน้อย และวางถ้วยยาหลักฐานไว้ข้างหมอนอย่างโจ่งแจ้ง

ตอนนี้ยาหลอกของเธอสมบูรณ์แบบแล้ว ผงยาสมุนไพรที่ถูกบดขยี้ ถูกทิ้งไว้เป็นหลักฐาน กลิ่นฉุนของมันลอยฟุ้งไปทั่ว กลบกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ที่เธอใช้ไปจนหมดสิ้น

หากว่ามีใครถาม เธอจะได้บอกว่าเธอใช้สูตรสมุนไพรพื้นบ้านในการรักษาจ้าวหมิ่น เธอโยนเข็มฉีดยาที่ใช้แล้วและซองฟอยล์ทั้งหมดเข้าไปในมิติทันที

จากนั้น เธอค่อย ๆ แก้ปมผ้าสกปรกที่พันแผลของจ้าวหมิ่นออกอย่างนุ่มนวลที่สุด ภาพบาดแผลที่ปรากฏอยู่เบื้องล่างนั้นน่าสยดสยองยิ่งกว่าที่เธอคาดไว้ เนื้อรอบแผลเน่าเปื่อยจนกลายเป็นสีดำคล้ำ มีหนองข้นสีเหลืองปนเขียวไหลซึมออกมา ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งจนน่าคลื่นไส้ จิ้งอีไม่แสดงอาการรังเกียจใด ๆ ดวงตาของเธอยังคงเยือกเย็นและมั่นคงราวกับศัลยแพทย์ในห้องผ่าตัด เธอใช้ผ้าชุบน้ำอุ่น (ที่แอบเอามาจากมิติ) เช็ดทำความสะอาดรอบ ๆ แผลอย่างเบามือ จากนั้นจึงหยิบขวดเล็ก ๆ ที่บรรจุแอลกอฮอล์ออกมา เทราดลงบนแผลโดยไม่ลังเล!

จ้าวหมิ่นที่ไม่ได้สติ ร่างของเธอเกร็งกระตุกราวกับถูกไฟฟ้าช็อต

“อดทนไว้!” จิ้งอีพูดเสียงกดต่ำ มือข้างหนึ่งกดไหล่ของจ้าวหมิ่นไว้แน่น จากนั้นก็รีบจัดการแผลอย่างรวดเร็วด้วยความเป็นมืออาชีพ หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น จิ้งอีก็นั่งลงข้าง ๆ เฝ้าดูอาการของจ้าวหมิ่นอย่างเงียบ ๆ เวลาผ่านไปราวกับหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงลมหายใจที่ยังคงติดขัดของจ้าวหมิ่นเท่านั้นที่ดังอยู่เป็นระยะ

หนึ่งชั่วโมง... สองชั่วโมง...

เหงื่อบนหน้าผากของจ้าวหมิ่นเริ่มลดลง อาการสั่นเทาเริ่มทุเลา ใบหน้าที่เคยแดงก่ำค่อย ๆ กลับมาเป็นสีปกติ

สวี่จิ้งอีรู้ ยาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว สงครามระหว่างยาปฏิชีวนะจากศตวรรษที่ 21 และเชื้อแบคทีเรียแห่งยุค 1970 ได้เริ่มต้นขึ้น และผลลัพธ์ของมันก็ชัดเจน มันคือชัยชนะอย่างท่วมท้น

เมื่อถึงตอนเที่ยง จ้าวหมิ่นก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แววตาของเธอมีความรู้สึกตัวและไม่เลื่อนลอยเหมือนก่อนหน้า

“จิ้งอี...” เธอเรียกชื่อเพื่อนด้วยเสียงที่แหบพร่า “ฉัน... ฉันยังไม่ตายเหรอ?”

“ยัง” จิ้งอีตอบสั้น ๆ “แต่ถ้าเมื่อเช้าฉันไม่ทำอะไรสักอย่าง ตอนนี้เธอคงได้คุยกับยมบาลไปแล้ว”

จ้าวหมิ่นพยายามจะลุกขึ้นนั่งแต่ก็ไม่มีแรง จิ้งอีจึงช่วยประคองเธอขึ้นพิงกับผนังดิน

“ฉัน... รู้สึกดีขึ้นมาก” จ้าวหมิ่นพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไข้ลดลงแล้ว แผลก็ไม่ปวดเหมือนเมื่อก่อน ยาของเธอมันคือยาอะไรกันแน่? มันไม่เหมือนกับของหมอเท้าเปล่าเลย”

สายตาของจ้าวหมิ่นเต็มไปด้วยความสับสน สงสัย และความหวัง นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด คำตอบของเธอในตอนนี้ จะเป็นตัวกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ของพวกเธอในอนาคต สวี่จิ้งอีนั่งลงตรงหน้าเธอ สบตากับจ้าวหมิ่นนิ่ง แววตาของเธอสงบและลึกล้ำราวกับมหาสมุทรยามค่ำคืน

“จ้าวหมิ่น... ในโลกนี้มีความลับมากมายที่เราไม่จำเป็นต้องรู้คำตอบทั้งหมด” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ทรงพลัง “สิ่งที่เธอต้องรู้มีเพียงอย่างเดียวคือ ฉันช่วยชีวิตเธอไว้ และฉันจะไม่ทำร้ายเธอ”

“...” จ้าวหมิ่นอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก

“สูตรยานี้เป็นความลับของตระกูลฉันที่ตกทอดกันมา” จิ้งอีสานต่อเรื่องราวที่เธอสร้างขึ้น “มันมีส่วนผสมบางอย่างที่หาได้ยากยิ่งบนภูเขาต้าชิง ฉันแค่โชคดีที่เคยเห็นมันตอนเด็ก ๆ และจำได้ ฉันบอกใครไม่ได้ และเธอก็พูดเรื่องนี้กับใครไม่ได้เช่นกัน เข้าใจไหม?”

มันคือคำอธิบายที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็คือคำตอบเดียวที่จ้าวหมิ่นสามารถยอมรับได้

เธอไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ดีว่าสมุนไพรวิเศษที่รักษาอาการติดเชื้อรุนแรงให้ดีขึ้นได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงนั้นมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ความจริงที่ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ หายใจอยู่ตรงนี้ คือสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาจากหางตาของจ้าวหมิ่น มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเจ็บปวด แต่เป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งและตื้นตันใจ

เธอคือลูกสาวชาวนาที่ถูกส่งมาที่นี่อย่างสิ้นหวัง หากเธอตายไปก็คงไม่มีใครสนใจนอกจากพ่อแม่ที่อยู่ห่างไกลเท่านั้น แต่สวี่จิ้งอี ผู้หญิงที่ดูเย็นชาและเข้าถึงยากคนนี้ กลับเป็นคนดึงเธอขึ้นมาจากปากเหวของความตาย จ้าวหมิ่นก้มศีรษะลงจนหน้าผากเกือบจรดพื้นดิน

“จิ้งอี บุญคุณช่วยชีวิตนี้ ต่อให้ต้องใช้ทั้งชีวิตฉันก็จะตอบแทนเธอ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือแต่หนักแน่น “จากนี้ไป ชีวิตของจ้าวหมิ่นคนนี้ ก็คือของเธอ”

สวี่จิ้งอีมองภาพนั้นนิ่ง ๆ ในใจของเธอไม่ได้รู้สึกยินดีหรือภาคภูมิใจ มีเพียงความสงบของการคำนวณที่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดไว้

“ดี” เธอกล่าวสั้น ๆ ก่อนจะยื่นมือไปประคองจ้าวหมิ่นขึ้นมา “จำคำพูดของเธอไว้ให้ดี เพราะอีกไม่นาน ฉันอาจจะต้องให้เธอช่วยจริง ๆ”

ขณะที่บรรยากาศอันหนักแน่นนั้นกำลังก่อตัวขึ้น ประตูกระท่อมที่ปิดไว้ก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง! เสียงแหลมสูงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “สวี่จิ้งอี! หัวหน้าหลี่เรียกเธอไปพบ! ทำไมวันนี้ถึงไม่ไปทำงาน!”

สวี่จิ้งอีหันขวับไปมองที่ประตู ปัญหาครั้งใหม่มาถึงเร็วกว่าที่คิด

ปัง!

ประตูไม้ที่ผุพังถูกผลักกระแทกเข้ามาอย่างแรงจนบานประตูกระดอนกลับไปชนผนังดินเสียงดังสนั่น เศษฝุ่นและหยากไย่ร่วงกราวลงมา ร่างของผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นเต็มกรอบประตู เธอคือหวังซ่าว ภรรยาของหัวหน้าหน่วยผลิตที่สองและเป็นคนสนิทของภรรยาหัวหน้าคอมมูน มือเท้าสะเอว ดวงตาเรียวเล็กตวัดมองมายังสวี่จิ้งอีราวกับเหยี่ยวจ้องหนู แฝงไว้ด้วยความเหยียดหยามและความอิจฉาที่ปิดไม่มิดต่อรูปโฉมอันหมดจดของหญิงสาวจากเมืองหลวง

“สวี่จิ้งอี!” เสียงแหลมสูงของหล่อนเสียดแก้วหู “มัวอู้งานอยู่ที่นี่เองรึ! ไม่รู้หรือไงว่าทุกคนเขาออกไปทำงานสร้างคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติกันหมดแล้ว! หัวหน้าหลี่เรียกเธอไปพบเดี๋ยวนี้!”

จ้าวหมิ่นที่เพิ่งจะรู้สึกดีขึ้นสะดุ้งสุดตัว ใบหน้าซีดเผือดลงทันที ในคอมมูนแห่งนี้ คำสั่งของหัวหน้าหลี่ หลี่เจี้ยนกั๋ว ก็ไม่ต่างจากโองการสวรรค์ การถูกเรียกพบเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ ไม่เคยมีเรื่องดี ทว่าสวี่จิ้งอีกลับไม่แสดงอาการตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เธอยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างเตา ประคองจ้าวหมิ่นไว้ด้วยท่าทีสงบเยือกเย็นราวกับสายน้ำใต้ธารน้ำแข็ง เธอมองไปยังหวังซ่าวด้วยแววตาที่เรียบเฉย ไร้ความรู้สึกใด ๆ จนคนถูกมองรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาอย่างประหลาด

“รบกวนป้าหวังกลับไปเรียนหัวหน้าหลี่ด้วย” น้ำเสียงของจิ้งอีราบเรียบแต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ “ว่าฉันกำลังดูแลสหายจ้าวหมิ่นที่ป่วยหนักอยู่ การช่วยเหลือสหายร่วมปฏิวัติก็ถือเป็นการสร้างคุณประโยชน์ให้ส่วนรวมเช่นกัน เมื่อดูแลเธอเสร็จแล้ว ฉันจะรีบไปพบท่านทันที”

คำพูดของเธอสุภาพและถูกต้องตามหลักการทุกประการจนหวังซ่าวถึงกับชะงักไป พูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“นี่เธอ!” หวังซ่าวตั้งสติได้ก็ชี้หน้าด่า “กล้าต่อล้อต่อเถียงฉันเหรอ! คิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหนกัน! แค่ปัญญาชนเยาวชนที่ถูกส่งมาดัดนิสัย อย่ามาทำตัวสูงส่งหน่อยเลย! หัวหน้าหลี่สั่งให้ไป ก็ต้องไป!”

สวี่จิ้งอีค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนช้า ๆ ความสูงของเธอที่เกือบหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรนั้นสูงกว่าหวังซ่าวอยู่เกือบหนึ่งศีรษะ เมื่อเธอยืดตัวตรง รังสีอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นก็แผ่ออกมาจากร่างที่ดูผอมบางนั้น กดดันจนหวังซ่าวต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

“ได้” สวี่จิ้งอีกล่าวเพียงคำเดียว ก่อนจะหันไปทางจ้าวหมิ่น “เธอนอนพักผ่อนไปก่อน อย่าขยับแผลมากนัก ดื่มน้ำเยอะ ๆ ฉันไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับ”

สวี่จิ้งอีได้ทำการเปลี่ยนน้ำที่อยู่ในขวดเล็กหัวเตียงเป็นน้ำสะอาดที่เธอนำมาด้วยเอาไว้ให้เรียบร้อย พูดจบเธอก็เดินผ่านหวังซ่าวออกไปจากกระท่อมโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง ทิ้งให้หวังซ่าวได้แต่กระทืบเท้าอย่างเจ็บใจอยู่เบื้องหลัง

สายลมฤดูใบไม้ร่วงตอนปลายพัดผ่านหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยบ้านดินสีเหลืองหม่น สวี่จิ้งอีเดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ที่เป็นโคลน ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของหญิงชราและเด็ก ๆ ที่ไม่ได้ออกไปทำงานในไร่นา สมองของเธอทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์

‘เรียกพบตอนนี้? ไม่ใช่เรื่องอู้งานแน่ สวี่จิ้งอีคนก่อนป่วยมาหลายวันก็ไม่เคยถูกเรียกพบเป็นการส่วนตัว ต้องมีเหตุผลอื่น’ เธอประมวลผลข้อมูลจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอย่างรวดเร็ว หัวหน้าคอมมูนหลี่เจี้ยนกั๋ว ชายวัยห้าสิบเศษผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในคอมมูนแห่งนี้ เขามีลูกชายคนหนึ่งชื่อหลี่หู่ อันธพาลประจำหมู่บ้านที่ไม่ทำงานทำการ เอาแต่รังแกคนอื่นไปวัน ๆ และที่สำคัญที่สุด หลี่หู่ยังไม่ได้แต่งงาน ความคิดหนึ่งวาบขึ้นมาในหัวของจิ้งอีราวกับสายฟ้าฟาด

‘หรือว่า...’ ใบหน้าของเธอเย็นชาลงกว่าเดิม แต่ฝีเท้ายังคงมั่นคงไม่สั่นคลอน

สำนักงานคอมมูนคือบ้านดินหลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน มีธงแดงผืนเก่าปักอยู่บนหลังคา เมื่อจิ้งอีเดินเข้าไปในห้องทำงานที่ค่อนข้างมืดทึบ กลิ่นยาสูบฉุนกึ้กก็ลอยมาปะทะจมูก หลี่เจี้ยนกั๋วนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่ ใบหน้าสี่เหลี่ยมของเขาคล้ำแดด ดวงตาหรี่เล็กภายใต้คิ้วดกหนา เขามองมาที่เธอด้วยสายตาที่ประเมินค่าราวกับพ่อค้ากำลังมองสินค้า

“สหายสวี่จิ้งอี นั่งลงก่อนสิ” เขาผายมือไปยังเก้าอี้ไม้ที่โยกเยกอยู่ตรงข้าม สวี่จิ้งอีไม่ได้นั่งลงทันที เธอยืนนิ่งอยู่กลางห้อง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “หัวหน้าหลี่เรียกฉันมา มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ พอดีสหายจ้าวหมิ่นยังป่วยหนัก ฉันยังเป็นห่วงเธออยู่”

เธอจงใจโยนหินถามทางและใช้จ้าวหมิ่นเป็นเกราะป้องกันตัวไปในคราวเดียวกัน หลี่เจี้ยนกั๋วพ่นควันยาออกจากปากเป็นวง ก่อนจะหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ

“ได้ยินมาว่าเธอป่วย แต่ดูตอนนี้สิ หน้าตาสดใสขึ้นเยอะเลยนี่ ไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด” สายตาของเขาแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง “ยาจากเมืองหลวงมันดีอย่างนี้นี่เองสินะ”

จิ้งอีใจกระตุก แต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง “ฉันแค่พักผ่อนเต็มที่ก็ดีขึ้นแล้วค่ะ คงเป็นเพราะอากาศที่นี่ดี ร่างกายเลยฟื้นตัวเร็ว” เธอตอบอย่างเลี่ยงบาลี

“ฮ่า ๆ ๆ อากาศดีงั้นรึ” หลี่เจี้ยนกั๋วหัวเราะเสียงดัง “คนอื่นอยู่มาเป็นปี ๆ มีแต่จะผอมแห้งลงทุกวัน มีแต่เธอที่ดูจะมีน้ำมีนวลขึ้น”

คำพูดของเขาเหมือนมีดที่ค่อย ๆ กรีดเข้ามาใกล้ สวี่จิ้งอียกยิ้มที่มุมปาก เธอป่วยเกือบตาย จะมาหน้าตาสดใสได้อย่างไรเพียงแค่วันเดียว “อาจจะเป็นเพราะฉันยังปรับตัวกับการทำงานหนักไม่ได้ เลยได้พักบ่อยกว่าคนอื่นกระมังคะ”

หลี่เจี้ยนกั๋วเลิกคิ้ว เขาไม่คิดว่าเด็กสาวที่ดูอ่อนแอและเงียบขรึมคนนี้จะตอบโต้ได้อย่างไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ เขาเคาะไปป์ลงบนที่เขี่ยบุหรี่ ก่อนจะเข้าเรื่องเสียที “เอาล่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อมกันแล้ว ที่ฉันเรียกเธอมาวันนี้ ก็เพราะมีเรื่องดี ๆ จะมาเสนอให้”

เขายิ้มอย่างมีเลศนัย ฟันหน้าของเขาเหลืองอ๋อยจากคราบยาสูบ “ฉันเห็นว่าเธออยู่ที่นี่ก็ลำบาก ร่างกายก็อ่อนแอ ทำงานหนักไม่ไหว คะแนนงานก็ได้น้อย สิ้นปีคงได้ส่วนแบ่งไม่พอประทังชีวิตแน่ ฉันในฐานะผู้นำ รู้สึกเป็นห่วงอนาคตของปัญญาชนเยาวชนอย่างเธอจริง ๆ”

สวี่จิ้งอีมองเขานิ่ง ๆ ไม่พูดอะไร แต่ในใจเย้ยหยัน ‘จิ้งจอกเฒ่า ในที่สุดก็เผยหางออกมาแล้ว’

****ต้องการอะไรกันแน่ ***

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel