บทที่ 4 บุญคุณแรก
บทที่ 4 บุญคุณแรก (ฉบับแก้ไข)
สายตาของจิ้งอีจับจ้องไปยังร่างที่นอนขดตัวอยู่บนฟากนอนฝั่งตรงข้าม จ้าวหมิ่น... ในม่านความทรงจำอันเลือนรางของเจ้าของร่างเดิม จ้าวหมิ่นคือหญิงสาวร่างเล็กผู้มีรอยยิ้มอบอุ่น แม้จะมาจากครอบครัวชาวนาในมณฑลใกล้เคียง แต่เธอกลับเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจคุณหนูจากเมืองหลวงอย่างสวี่จิ้งอีคนก่อน ครั้งหนึ่งที่สวี่จิ้งอีทำงานพลาดจนถูกหัวหน้างานตำหนิอย่างรุนแรง ก็เป็นจ้าวหมิ่นที่แอบยื่นมันเทศนึ่งร้อน ๆ ให้เธอครึ่งหัว พร้อมกับตบบ่าเบา ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ
ความเมตตาเล็ก ๆ น้อย ๆ ในโลกที่แห้งแล้ง... มันคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด
“แปร่นน!!!!"
เสียงแตรเขาสัตว์โหยหวนจากลานรวมพลดังขึ้นอีกครั้งปลุกเธอจากภวังค์ มันคือสัญญาณเรียกไปกินข้าวมื้อเช้า ซึ่งก็คือข้าวต้มผสมมันเทศที่แทบจะไม่มีเนื้อมัน จือชิงหญิงคนอื่น ๆ ในกระท่อมเริ่มขยับตัวอย่างเกียจคร้าน เสียงบ่นอุบอิบดังขึ้น
"ให้ตายเถอะ หนาวขนาดนี้ยังจะเรียกอีก"
"ลุกเถอะ ถ้าไปช้าแม้แต่น้ำข้าวต้มก็ยังไม่ได้กิน"
หญิงสาวร่างผอมหลายคนลุกขึ้น สวมเสื้อบุฝ้ายเก่า ๆ ที่มีรอยปะชุนทับชุดนอนอย่างลวก ๆ พวกเธอไม่แม้แต่จะล้างหน้า แต่สวี่จิ้งอี สังเกตเห็นความผิดปกติ มีร่างหนึ่งที่ยังนอนนิ่ง ไม่ใช่การนอนนิ่งแบบเธอเมื่อคืน แต่เป็นการนอนนิ่งที่ อันตราย จ้าวหมิ่นตอนนี้กำลังสั่นเทาอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ใบหน้าของเธอแดงก่ำผิดปกติ ริมฝีปากแห้งแตกจนมีเลือดซิบ
"จ้าวหมิ่น?"
สวี่จิ้งอีเรียกเสียงแผ่ว ไม่มีการตอบสนอง
"นี่ พวกเธอ" จือชิงอีกคนที่ชื่อหลี่น่าหันมามอง
"อย่าไปยุ่งกับเธอเลย เมื่อวานเธอโดนจอบบาดที่ขาตอนทำงาน กลับมาก็เพ้อทั้งคืน"
"เพ้อ?" สวี่จิ้งอียันตัวลุกขึ้น ความเจ็บปวดแล่นแปลบไปทั่วร่าง แต่จิตวิญญาณแพทย์ทหารของเธอตื่นตัวเต็มที่
"ใช่" หลี่น่าพูดอย่างไม่ใส่ใจ พลางถักเปียอย่างรวดเร็ว
"หมอเท้าเปล่ามาดูแล้ว บอกว่าติดเชื้อ ให้สมุนไพรมาต้ม แต่เธอก็ไม่ยอมกิน เอาแต่เพ้อว่าเจ็บ"
สวี่จิ้งอีไม่สนใจคำพูดนั้นอีกต่อไป เธอคลานข้ามคังดินที่เย็นชืดไปยังจุดที่จ้าวหมิ่นนอน จากนั้นก็ยื่นหลังมือไปอังหน้าผากของจ้าวหมิ่นอย่างแผ่วเบา ผิวร้อนจัดราวกับเตาไฟ
‘อุณหภูมิเกือบ 40 องศาเซลเซียส ติดเชื้อในกระแสเลือดแล้ว หากปล่อยไว้ถึงเย็นนี้ อวัยวะภายในจะล้มเหลวและเสียชีวิตแน่นอน’
การตัดสินใจแล่นผ่านสมองของเธอราวกับสายฟ้าฟาด การช่วยชีวิตจ้าวหมิ่นในตอนนี้คือความเสี่ยงมหาศาล เธอจะเอาความรู้ทางการแพทย์มาจากไหน? จะเอายาวิเศษมาจากไหน? คำถามเหล่านี้จะตามมาหลอกหลอนเธอไม่สิ้นสุด และอาจนำไปสู่การเปิดโปงตัวตนของเธอได้ แต่การนิ่งดูดาย ก็เท่ากับปล่อยให้พันธมิตรเพียงคนเดียวในสถานที่แห่งนี้ตายไปต่อหน้าต่อตา จ้าวหมิ่นไม่ใช่คนสำคัญ แต่ความภักดีที่เกิดจากบุญคุณช่วยชีวิตนั้น คือสินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้ในสนามรบที่เรียกว่าคอมมูนชิงซานแห่งนี้ มันคือการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ผลตอบแทนก็สูงยิ่งกว่า
สวี่จิ้งอีได้กลิ่นบางอย่าง แต่สิ่งที่ปะทะจมูกเธอไม่ใช่กลิ่นอับของกระท่อม แต่มันคือกลิ่นคาว กลิ่นหวานปนเหม็นเน่าที่แพทย์ทุกคนคุ้นเคย กลิ่นของเนื้อตายและการติดเชื้อ จิ้งอีไม่ลังเล เธอเปิดผ้าห่มที่คลุมขาจ้าวหมิ่นออก
"นี่! ทำอะไรของเธอ!"
หลี่น่าร้องออกมา แต่เสียงของเธอกลืนหายไปในลำคอ เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ขาของจ้าวหมิ่นตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงเกือบหัวเข่า บวมเป่งจนมันวาว ผิวหนังเป็นสีแดงก่ำสลับม่วงคล้ำ ตรงกลางบาดแผลที่เกิดจากจอบ ซึ่งถูกพันด้วยผ้าขี้ริ้วสกปรก บัดนี้กลายเป็นสีดำน่าสยดสยอง และมีหนองข้นสีเหลืองปนเขียวไหลซึมออกมา ที่น่ากลัวที่สุดคือเส้นสีแดงที่ลากจากข้อเท้า ผ่านหน้าแข้ง กำลังมุ่งหน้าไปยังโคนขาหนีบ
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด... การติดเชื้อลุกลามทางระบบน้ำเหลือง ในยุค 2025 นี่คือเรื่องที่จัดการได้ด้วยยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด แต่ในปี 1975 นี่คือคำพิพากษาประหารชีวิต
"เหม็นจะตาย!" จือชิงอีกคนบ่น
"เอาผ้าคลุมไว้เถอะ เดี๋ยวก็ตายแล้ว"
ตาย! คำพูดที่เย็นชาและไร้หัวใจ สวี่จิ้งอีเงยหน้าขึ้น แววตาของเธอสแกนใบหน้าของจือชิงคนอื่น ๆ พวกเธอไม่ใช่คนเลว พวกเธอแค่กลัว กลัวความตาย กลัวความลำบาก กลัวการเป็นภาระ ในยุคที่แม้แต่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ความเมตตาคือสิ่งฟุ่มเฟือยที่สุด
"พวกเธอไปกินข้าวก่อนเถอะ" จิ้งอีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ฉันขอดูอาการเธอหน่อย"
หลี่น่ามองเธออย่างสงสัย "เธอก็ป่วยไม่ใช่เหรอ? เมื่อคืนยังนึกว่าจะตายตามกันไปซะแล้ว"
"ฉันดีขึ้นแล้ว" สวี่จิ้งอีตอบ "ไปเถอะ เดี๋ยวหัวหน้าหลี่จะดุเอา"
คำพูดนั้นได้ผล พวกเธอรีบคว้าชามของตัวเองและกรูออกไปจากกระท่อม ทิ้งไว้เพียงความเงียบ และเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดของจ้าวหมิ่น นี่คือการเดิมพัน สวี่จิ้งอีไม่ใช่แม่พระ เธอคือแพทย์ทหารที่ถูกสอนให้คัดแยกผู้ป่วย สีดำ (ตาย) สีแดง (เร่งด่วน) สีเหลือง (รอดูอาการ) สีเขียว (เดินได้)
จ้าวหมิ่นคือสีแดงที่กำลังจะกลายเป็นสีดำ แต่ในแง่ของยุทธศาสตร์ การช่วยชีวิตจ้าวหมิ่น คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด
ต้นทุน: ยาปฏิชีวนะไม่กี่เม็ด และความเสี่ยงที่จะถูกจับได้ ผลประโยชน์: ชีวิต
ในโลกที่โหดร้ายนี้ ไม่มีอะไรจะผูกมัดคนได้แน่นหนาเท่าบุญคุณที่ทดแทนไม่ได้ จ้าวหมิ่น คือพันธมิตรคนแรกที่เธอเลือก
'มิติ! โซน A-1! ไซริงค์บรรจุยาปฏิชีวนะ 10 cc! ยานอนหลับ 2 cc! โซน A-2! ชุดน้ำเกลือ IV แบบพกพา 500 ml! แอลกอฮอล์แพด และชุดสายน้ำเกลือ!'
ความคิดของเธอพุ่งตรงไปยังคลังแสง เธอต้องการยาและต้องการฉากบังหน้าที่สมบูรณ์แบบ
"จ้าวหมิ่น จ้าวหมิ่น ตื่นสิ" เธอเขย่าร่างนั้น
"เจ็บ..เจ็บจังเลย แม่..แม่หนูเจ็บ..." จ้าวหมิ่นเพ้อ ไม่ได้สติ
ดี... คนไม่ได้สติ จะจำอะไรไม่ได้
จิ้งอีหันหลังให้ประตู แสร้งทำเป็นจัดผ้าห่มให้จ้าวหมิ่น แต่ความจริง มือของเธอล้วงเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนนั้น พื้นที่ปฏิบัติการลับที่ปลอดภัยที่สุดในกระท่อมนี้
วูบ!
ไซริงค์ที่บรรจุยาแล้ว 2 หลอด, ถุงน้ำเกลือขนาดเล็ก, ชุดสายน้ำเกลือ และแอลกอฮอล์แพด ถูกดึงออกมาสู่ปี 1975 อย่างเงียบเชียบ ทั้งหมดซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางที่สกปรก
"จ้าวหมิ่น" จิ้งอีเรียกเสียงเย็น "ฉันจะช่วยเธอ"
เธอไม่รอคำตอบ มือหนึ่งจับท่อนแขนที่สั่นเทาของจ้าวหมิ่นไว้แน่น อีกมือที่อยู่ใต้ผ้าห่มก็ทำงานอย่างรวดเร็วและแม่นยำราวกับเครื่องจักร เธอใช้แอลกอฮอล์แพดเช็ด เสียบเข็มฉีดยานอนหลับเข้ากล้ามเนื้อก่อน จ้าวหมิ่นเกร็งตัวเล็กน้อย แต่เสียงเพ้อของเธอก็แผ่วลง แผ่วลง... จนกลายเป็นเพียงลมหายใจสม่ำเสมอ
เมื่อเป้าหมายสงบแล้ว มือของเธอก็ไม่หยุดนิ่ง เธอฉีดยาปฏิชีวนะโดสสูงเข้าที่สะโพก จากนั้น คือขั้นตอนที่ยากและเสี่ยงที่สุด
เธอหาเส้นเลือดที่แขนอีกข้าง แทงเข็มต่อสายน้ำเกลือ เธอซ่อนถุงน้ำเกลือขนาด 500 ml ไว้ใต้หมอนฟางของจ้าวหมิ่น ปรับอัตราการหยดให้ช้าที่สุดแต่ต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ถูกคลุมทับด้วยผ้าห่มจนมิดชิด
การรักษาที่ล้ำยุคที่สุดในแผ่นดินจีนปี 1975 กำลังดำเนินไปอย่างเงียบเชียบในกระท่อมที่ยากจนที่สุด
ขั้นตอนต่อไป: ฉากบังหน้า เธอต้องสร้างหลักฐาน หลังจากมั่นใจว่าจ้าวหมิ่นจมสู่ห้วงนิทราที่ปลอดภัย จากการควบคุมของยานอนหลับและน้ำเกลือเริ่มทำหน้าที่ของมันภายใต้ผ้าห่มผืนหนา สวี่จิ้งอีก็เริ่มแผนการขั้นที่สอง เธอมองลอดผ่านรอยแตกของผนังดินออกไปข้างนอก ลมหนาวยังคงพัดหวีดหวิว หิมะบาง ๆ ที่ตกค้างเมื่อคืนยังคงเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ อากาศเย็นเยียบจนสามารถแช่แข็งคนตายได้ ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป การออกไปข้างนอกในสภาพนี้คือการฆ่าตัวตายซ้ำซ้อน
สวี่จิ้งอีรีบเดินไปยังมุมที่มืดที่สุดของกระท่อมซึ่งมีผ้าม่านเก่า ๆ ขึงไว้เป็นฉากกั้นแบ่งพื้นที่อย่างหยาบ ๆ เธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบกริบ มือของเธอล้วงเข้าไปในสาบเสื้อ มิติ! โซน D! ชุดลองจอนเก็บความร้อน!
วูบ! ชุดลองจอน (Long Johns) สีดำ เนื้อผ้าไฮเทคจากปี 2025 ที่บางเบาราวกับผิวหนังชั้นที่สอง แต่เก็บกักความร้อนได้ดีกว่าเสื้อบุฝ้ายหนา ๆ ถูกดึงออกมา เธอใช้เวลาไม่ถึงสามสิบวินาทีในการสวมมันไว้ด้านในสุดสองชั้น จากนั้นจึงสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่เก่าและปะชุนทับเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นความผิดปกติ บัดนี้ภายใต้รูปลักษณ์ของจือชิงผู้ผอมแห้งและป่วยไข้ คือชุดเกราะที่พร้อมรับมือกับความหนาวเหน็บ
เธอไม่จำเป็นต้องซ่อนเร้นการออกไป ในทางกลับกัน เธอต้องการพยาน เธอเดินกลับมาที่ประตู หายใจเข้าลึก ๆ แสร้งทำเป็นไอโขลกสองสามครั้ง ก่อนจะผลักประตูไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกไปอย่าง 'รีบร้อน' จือชิงคนอื่น ๆ ที่เพิ่งกลับมาจากโรงอาหาร รวมถึงหลี่น่า กำลังนั่งจับกลุ่มซุบซิบและผิงไฟอ่อน ๆ ที่กลางกระท่อม เสียงเปิดประตูทำให้ทุกคนหันมามอง พวกเธอเห็น ร่างที่ผอมบางของสวี่จิ้งอี คนที่เมื่อคืนยังนอนรอความตาย กำลังเดินฝ่าลมหนาวออกไปนอกกระท่อมอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะหยิบเสื้อคลุมตัวนอกที่หนาที่สุด
"เฮอะ! สงสัยจะบ้าไปแล้ว" หลี่น่าพ่นลม
"อากาศแบบนี้ยังจะออกไปเดินเล่นอีก"
"หรือว่า ยาหมอเท้าเปล่านั่นมันทำให้เธอเพี้ยน?" อีกคนกระซิบ
สวี่จิ้งอีได้ยิน แต่นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการ จากสายตาของเพื่อนปัญญาชน พวกเขาเห็นเพียงหลังของเธอที่เดินลิ่ว ๆ หายเข้าไปในป่าละเมาะหลังกระท่อมอย่างรวดเร็ว แบบนี้เท่ากับว่าแผนการสำเร็จ มีคนเห็นเธอออกไปแล้ว เธอใช้เวลาในป่าไม่นาน สายตาของเธอทำเป็นสอดส่ายหาสมุนไพร เธอไม่รู้จักสมุนไพรจีน แต่ความจำแบบภาพถ่ายที่ได้มาจากร่างเดิม ทำงานอย่างซื่อสัตย์ ข้อมูลพฤกษศาสตร์ไหลผ่านสมองของเธอ นั่น หญ้าหางม้า (ใช้ห้ามเลือด) นั่น ดอกสายน้ำผึ้งป่า (จินอิ๋นฮวา) (ใช้ลดไข้ แก้พิษ)
เธอเด็ดดอกสายน้ำผึ้งป่ามาหนึ่งกำมือและจงใจกำดินที่ติดรากมันมาด้วย เธอใช้เวลาเพียงห้านาที ก่อนจะเดินตัวสั่น (แกล้งทำ) กลับเข้าไปในกระท่อม หลี่น่าและคนอื่น ๆ ยังคงมองเธอด้วยสายตาดูแคลน สวี่จิ้งอีไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เธอกลับไปที่มุมเดิม ที่ที่เธอบดยาหลอกก่อนหน้านี้ เธอโยนสมุนไพรสดและดินที่เปียกชื้นเล็กน้อยลงไปในถ้วยยาเปล่าของหมอเท้าเปล่า แล้วใช้หินก้อนเดิมบดขยี้มันอีกครั้ง
****ช่วยเพื่อนเลยสงสารน้องจางหมิ่น ***
