บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 ทะลุมิติมาแล้ว

บทที่ 3 ทะลุมิติมาแล้ว

“หนาวชะมัด!!” เธอพูดกับตัวเองเบา ๆ พลางใช้มือผอมบางลูบแขน

มันคือความหนาวที่แตกต่างจากพายุหิมะในภารกิจแถบไซบีเรีย ไม่ใช่ความเย็นเยียบของห้องผ่าตัดที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนสุด มันคือความหนาวที่กัดกร่อน ความหนาวที่ชื้นแฉะและสิ้นหวัง มันซึมลึกผ่านเสื้อผ้าฝ้ายบาง ๆ ที่แทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นเครื่องนุ่งห่ม ทะลวงผ่านชั้นผิวหนังและไขมันอันน้อยนิด เล็ดลอดเข้าสู่กระแสเลือด และแช่แข็งทุกอณูในร่างกายจนถึงแก่นกระดูก

สวี่จิ้งอีพยายามขยับปลายนิ้ว แต่กลับพบว่ามันแข็งทื่อและไร้ความรู้สึก ร่างนี้เปรียบเสมือนตะเกียงที่น้ำมันใกล้จะหมดสิ้น ลมหายใจแผ่วระรินราวกับจะดับสลายไปพร้อมกับสายลมยามค่ำคืนที่ลอดผ่านรอยแตกของผนังดินเข้ามา

"แค่ก แค่ก ๆ ..."

เสียงไอรุนแรงจนแทบจะฉีกปอดออกมาเป็นชิ้น ๆ สวี่จิ้งอีเกร็งร่าง นั่นคือเสียงของเธอเอง มันแหบแห้ง บาดลึก และเจ็บปวด ในฐานะแพทย์ทหาร เธอกำลังทำการวินิจฉัยตัวเองอย่างรวดเร็วแม้ในสภาวะที่สติพร่าเลือน

หนึ่ง: ภาวะอุณหภูมิกายต่ำ ความหนาวเหน็บที่แทรกซึมผ่านผ้าห่มซึ่งบางราวกับกระดาษนี้ ไม่ใช่แค่ความรู้สึก มันคือนักฆ่าที่กำลังสูบฉีดความร้อนออกจากร่างที่อ่อนแออยู่แล้ว

สอง: การติดเชื้อรุนแรง ทุกครั้งที่หายใจเข้าลึกเข้าไปในทรวงอก มีความเจ็บปวดราวกับมีดกรีด นี่คืออาการปอดบวมอย่างไม่ต้องสงสัย

สาม: ภาวะขาดสารอาหารและน้ำอย่างรุนแรง ความหิวที่บิดเกร็งในช่องท้อง มันไม่ใช่ความหิวโหยทั่วไป มันคือสัญญาณเตือนจากร่างกายว่ากำลังจะเริ่มย่อยสลายตัวเองเพื่อความอยู่รอด

สถานการณ์: เลวร้ายที่สุด อัตราการรอดชีวิต (หากไม่ทำการรักษา): 0%

เธอคือฟีนิกซ์ที่ถูกฝึกมาให้เอาตัวรอดในสถานการณ์ที่สิ้นหวังที่สุด แต่ตอนนี้เธออยู่ในร่างของลูกไก่ที่ใกล้จะแข็งตาย สวี่จิ้งอีพยายามรวบรวมพละกำลังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ขยับปลายนิ้วที่ชาด้าน สัมผัสที่ได้กลับมาคือความหยาบกระด้างของ คัง (เตียงเตา) ที่เย็นชืดและผ้าห่มฟางข้าวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้น...

นี่คือความจริงของปี 1975 ไม่มีเตียงโรงพยาบาลที่อบอุ่น ไม่มีเซรุ่ม ไม่มียาปฏิชีวนะ...อย่าบอกนะว่าทะลุมิติมาปุ๊บ ก็จะตายต่อปั๊บเลย!! แบบนั้นจะให้เธอทะลุมิติมาให้เหนื่อยทำไมกัน!!

สมองของศัลยแพทย์สนามประมวลผลอาการของร่างกายใหม่นี้อย่างรวดเร็วและเยือกเย็นราวกับกำลังอ่านแฟ้มประวัติคนไข้ บทสรุปปรากฏขึ้นมาชัดเจน หากปล่อยไว้ไม่เกินสามชั่วโมง ร่างนี้จะเข้าสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตอย่างถาวร

นี่คือเส้นตายแรกของเธอ สั้นกว่าที่คิดไว้มาก เธอฝืนเปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่วให้เปิดขึ้น ภาพที่เห็นพร่ามัวในตอนแรก ก่อนจะค่อย ๆ ปรับโฟกัสจนคมชัดขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์สลัว

เพดานคือโครงไม้ผุ ๆ ที่มุงด้วยฟางแห้งอย่างลวก ๆ มองเห็นดวงดาวกะพริบพราวผ่านช่องโหว่ได้หลายแห่ง ผนังคือดินเหนียวที่แตกระแหง ลมหนาวลอดผ่านช่องโหว่เข้ามาอย่างโหดร้ายไร้ปรานี พื้นคือดินอัดแน่นที่เย็นเฉียบ เธอนอนอยู่บน ‘คัง’ หรือเตาดินที่ควรจะให้ความอบอุ่น แต่บัดนี้มันกลับเย็นชืดไม่ต่างจากแผ่นน้ำแข็ง

รอบกายเธอมีร่างของหญิงสาวอีกสี่ถึงห้าคนนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน ทุกคนหลับสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาและเสียงไอค่อกแค่กเป็นครั้งคราวที่บ่งบอกว่าพวกเธอยังมีชีวิตอยู่

นี่คือกระท่อมรวมของเหล่าปัญญาชนเยาวชน หรือที่เรียกกันว่า ‘จือชิง’ ในคอมมูนชิงซานอันห่างไกลและยากจน

ทันใดนั้นเอง คลื่นความทรงจำมหาศาลก็ถาโถมเข้าใส่สมองของเธออย่างรุนแรง มันไม่ใช่แค่ข้อมูล แต่เป็นภาพ เสียง และความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิม เด็กสาวที่ชื่อสวี่จิ้งอีเหมือนกัน

ภาพของครอบครัวในเมืองหลวง พ่อแม่ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยผู้เย็นชาและให้ความสำคัญกับหน้าตาทางสังคมยิ่งกว่าสิ่งใด ภาพของพี่ชายสวี่เจียหาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของครอบครัว และเพื่ออนาคตที่สดใสของเขา เธอ สวี่จิ้งอีผู้อ่อนแอและเงียบขรึม จึงถูกสละให้เดินทางมายังชนบทอันแร้นแค้นแห่งนี้ตามนโยบายขึ้นเขาลงห้วยของทางการ

ความรู้สึกของการถูกทอดทิ้ง ความน้อยเนื้อต่ำใจที่กัดกินหัวใจเงียบ ๆ ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักในไร่นาที่ไม่คุ้นเคย ความหิวโหยที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน และท้ายที่สุด ความเจ็บป่วยที่ไม่มีใครใส่ใจ เธอเป็นไข้มาสามวันแล้ว ได้เพียงยาต้มสมุนไพรรากหญ้าจากหมอเท้าเปล่าประจำหมู่บ้าน ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย

ความทรงจำสุดท้ายของเด็กสาวคนนั้นคือความรู้สึกของการยอมจำนนต่อความมืดมิด เธอเลือกที่จะปล่อยมือจากโลกที่โหดร้ายใบนี้ด้วยตัวเอง

‘ช่างเป็นทางเลือกที่โง่เขลา’ สวี่จิ้งอีแห่งศตวรรษที่ 21 คิดอย่างเย็นชาขณะที่สลัดความรู้สึกสิ้นหวังของเจ้าของร่างเดิมทิ้งไป ‘ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็ยังไม่มีคำว่าแพ้ในสนามรบแห่งชีวิต’

เธอหลับตาลงอีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อยอมแพ้ แต่เพื่อรวบรวมสมาธิที่เหลืออยู่น้อยนิด

‘มิติโกดัง...’

เธอเพ่งจิตไปที่ความว่างเปล่าในห้วงความคิด ทันใดนั้น ภาพของโกดังขนาดใหญ่ที่คุ้นตาก็ปรากฏขึ้นชัดเจนราวกับภาพโฮโลแกรม พื้นที่ 1,000 ตารางเมตรถูกจัดสรรอย่างเป็นระเบียบ ชั้นวางเหล็กสูงจรดเพดานเรียงรายไปด้วยยุทธปัจจัยที่เธอเตรียมมาตลอดสามสิบวัน ทุกอย่างยังคงสภาพเดิมเหมือนตอนที่เธอจากมา เวลาในมิตินี้หยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์

แผนการช่วยชีวิตฉุกเฉินถูกร่างขึ้นในสมองภายในเสี้ยววินาที

ขั้นตอนที่หนึ่ง: เพิ่มอุณหภูมิร่างกายจากภายในและให้พลังงานเร่งด่วน ความคิดของเธอสั่งการ ‘มิติ! โซน A-1! ยาปฏิชีวนะ! โซน C-4! โปรตีนบาร์! โซน D! กระติกน้ำอุ่น!’ วัตถุสองชิ้นก็ปรากฏขึ้นในมือที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางทันที หนึ่งคือแท่งช็อกโกแลตให้พลังงานสูงสำหรับทหาร อีกหนึ่งคือกระติกน้ำร้อนสแตนเลสขนาดเล็กที่บรรจุน้ำอุ่นเอาไว้ เธอบรรจงแกะเปลือกช็อกโกแลตอย่างเงียบเชียบที่สุด เธอไม่สามารถกินมันได้ กลิ่นช็อกโกแลตจะปลุกคนทั้งกระท่อม เธอทำได้เพียงกัดมันหนึ่งคำเล็ก ๆ อมไว้ใต้ลิ้น ปล่อยให้พลังงานและน้ำตาลค่อย ๆ ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

จากนั้นเธอก็เปิดกระติกน้ำ ควันอุ่น ๆ ลอยขึ้นมาปะทะใบหน้าที่ซีดเซียว เธอจิบน้ำอุ่นเข้าไปอย่างระมัดระวัง ความร้อนไหลผ่านลำคอที่เจ็บระบมลงสู่ช่องท้อง ไล่ความหนาวเย็นที่เกาะกุมอยู่ภายในออกไปทีละน้อย

ขั้นตอนที่สอง: จัดการกับต้นตอของปัญหาการติดเชื้อ ด้วยจิตที่ตั้งมั่น เธอนึกถึงชั้นวางยาปฏิชีวนะ ยาเม็ดสีขาวสองเม็ดปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ อะม็อกซีซิลลิน 500 มิลลิกรัม และพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม นี่คือยาพื้นฐานที่สุดในยุคของเธอ แต่ในยุค 1975 นี้ มันคือยาวิเศษที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้ เธอโยนยาทั้งสองเม็ดเข้าปากแล้วดื่มน้ำอุ่นตามลงไปจนหมด รสขมของยาไม่อาจเทียบได้กับรสชาติของความพ่ายแพ้

เมื่อยาและพลังงานเริ่มเข้าสู่กระแสเลือด ร่างกายที่ใกล้จะหยุดทำงานของเธอก็เหมือนเครื่องจักรที่ถูกหยอดน้ำมันอีกครั้ง อาการสั่นเทาจากความหนาวเริ่มลดลง ความรู้สึกที่ปลายนิ้วมือและปลายเท้าค่อย ๆ กลับคืนมา เปลือกตาที่เคยหนักอึ้งบัดนี้สามารถเปิดค้างไว้ได้นานขึ้น เธอส่งขวดน้ำกระติกน้ำอุ่นและเศษขยะกลับเข้าไปในมิติอีกครั้ง ป้องกันคนอื่นที่นอนอยู่ตื่นมาเห็นหรือได้กลิ่น ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคงอย่างเชื่องช้า สำรวจสภาพแวดล้อมอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งด้วยสายตาของพยัคฆ์สาวที่เพิ่งตื่นจากการจำศีล

แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาทำให้เธอเห็นใบหน้าของหญิงสาวคนอื่น ๆ ได้ชัดเจนขึ้น แต่ละคนผ่ายผอมจนแก้มตอบ ดวงตาหลับพริ้มแต่คิ้วยังคงขมวดเข้าหากัน แม้ในยามหลับฝัน ความทุกข์ยากก็ยังคงตามหลอกหลอน

"แค่ก แค่ก ๆ ..."

เสียงไอแหบแห้งไม่แพ้กันดังขึ้นจากร่างที่นอนอยู่ข้าง ๆ ตามความทรงจำนี่คือ จ้าวหมิ่น ปัญญาชนเยาวชนสาวจากเซี่ยงไฮ้ที่ถูกส่งมาพร้อมกัน ที่นอนอยู่ไม่ไกลจากเธอไอโขลกออกมาเป็นชุด ร่างของเธอสั่นสะท้านอยู่ใต้ผ้าห่มบาง ๆ ใบหน้าแดงก่ำอย่างผิดปกติ จากความทรงจำ จ้าวหมิ่นเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของร่างนี้ และคอยช่วยเหลือเธอหลายครั้ง

‘ดูเหมือนว่า ฉันจะไม่ใช่คนป่วยเพียงคนเดียวในที่นี้’

สวี่จิ้งอีไม่ได้คิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือในทันที การแสดงตนว่าเป็นหมอในตอนนี้มีแต่จะสร้างปัญหาที่จัดการได้ยากตามมา เธอต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ให้ถ่องแท้เสียก่อน

‘การเอาตัวรอดของตัวเองคือสิ่งสำคัญอันดับแรกเสมอ’ นี่คือบทเรียนที่สนามรบสลักลึกลงไปในจิตวิญญาณของเธอ หลังจากผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง ฤทธิ์ยาและพลังงานจากช็อกโกแลตก็เริ่มทำงานเต็มที่ อุณหภูมิร่างกายของเธอเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ แม้จะยังอ่อนเพลียแต่สติปัญญาและความคิดก็กลับมาเฉียบคมดังเดิม

บัดนี้สมองของเธอไม่ได้คิดถึงแค่การเอาชีวิตรอดในคืนนี้อีกต่อไป แต่กำลังวางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้ และวันต่อ ๆ ไป จากความทรงจำของร่างเดิม เธอรู้ว่าปัญญาชนเยาวชนทุกคนจะได้รับปันส่วนอาหารน้อยนิด และต้องทำงานในคอมมูนเพื่อแลกกับคะแนนงาน (Work points) ซึ่งจะถูกนำไปคำนวณเป็นอาหารและสิ่งของจำเป็นเพิ่มเติมเมื่อถึงสิ้นปี

สวี่จิ้งอีคนเดิมนั้นร่างกายอ่อนแอ ทำงานไม่เก่ง คะแนนงานจึงอยู่อันดับท้าย ๆ เสมอ อาหารที่ได้รับไม่เคยพอกิน นี่คือวงจรอุบาทว์ที่นำเธอไปสู่ความตาย ร่างกายอ่อนแอ ทำงานได้น้อย ได้อาหารน้อย ร่างกายก็ยิ่งอ่อนแอลง

‘ต้องทำลายวงจรนี้ให้ได้’

สวี่จิ้งอีนั่งนิ่งอยู่บนคังดินที่เย็นชืด ร่างกายของเธอยังคงอ่อนล้าจากการต่อสู้กับความตายเมื่อคืน แต่สมองกลับทำงานด้วยความเร็วสูงสุดราวกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์

ยาปฏิชีวนะจากปี 2025 ได้หยุดความตาย แต่ความหิวโหยที่บิดเกร็งในช่องท้องคือศัตรูตัวฉกาจที่กำลังตั้งทัพใหม่ เธอกำหมัดที่ผอมจนเหลือแต่กระดูกแน่น สัมผัสได้ถึงความอ่อนแอของร่างกายนี้อย่างชัดเจน ไม่พอ เธอจะต้องแข็งแรงขึ้นและต้องเร็วที่สุด การพึ่งพาคะแนนงาน (Work points) ที่ได้จากการทำงานหนักจนแทบรากเลือดแลกกับข้าวต้มที่ใสจนมองเห็นเงาสะท้อนก้นชาม นั่นไม่ใช่การเอาชีวิตรอด

นั่นคือการรอความตายอย่างช้า ๆ

ตอนนี้เธอมีอาหารมากมายที่ขนมาด้วยจากยุคของเธอ แต่การที่จะนำพวกมันออกมากินมาใช้จำต้องมีที่มาที่ไป เธอต้องหาแหล่งที่จะทำให้คนอื่นเห็นว่าเธอมีอาหารจากที่ไหน เป็นช่องทางที่ไม่ต้องพึ่งพาการปันส่วนจากคอมมูน ในสมองที่ถูกอัปเกรดด้วยความจำแบบภาพถ่าย ตลาดคือคำตอบของทุกสิ่ง มันคือกลไกพื้นฐานของอารยธรรมมนุษย์

แต่ว่าในยุคนี้ ปี 1975 ยุคที่การค้าเสรีคือหางของทุนนิยมที่ต้องถูกตัดทิ้ง เท่าที่เธอรู้จากความทรงจำอันเจ็บปวดของร่างเดิม การค้าขายยังไม่ได้เปิดกว้าง ทุกอย่างยังจำเป็นต้องแอบซ่อน แต่ว่าสวี่จิ้งอีแสยะยิ้มบางเบาที่มุมปาก ความเย็นชาฉายชัดในแววตา มนุษย์นั้นฉลาดและมักจะปรับตัวกับทุกสถานการณ์ กฎมีไว้เพื่อควบคุม แต่ความหิวโหยมีอำนาจเหนือกว่ากฎ

เมื่อห้ามก็ยิ่งหาทางที่จะทำ เมื่อกดก็ยิ่งหาทางที่จะซ่อน

ดังนั้น ไม่นานสมองของเธอก็แล่นไปยังสถานที่ ที่คนในยุคนี้ทำการแลกเปลี่ยนกันโดยที่ทางการไม่รู้ หรืออาจจะรู้ แต่ทำเป็นหลับหูหลับตาเพื่อรักษาสมดุลอันเปราะบางของสังคมที่ขาดแคลนแห่งนี้ ความคิดของเธอแล่นไปยังตลาดมืด สถานที่ที่เธอเคยได้ยินคนในหมู่บ้านพูดถึงกันแว่ว ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ทั้งหวาดกลัวและโหยหา สถานที่ที่ไข่ไก่หนึ่งฟองมีค่ามากกว่าคำขวัญปฏิวัติ และผ้าฝ้ายหนึ่งผืนมีค่าพอที่จะแลกกับศักดิ์ศรี

นั่นคือทางรอด แต่มันก็คือปากเหว

การจะไปตลาดมืดได้นั้นไม่ใช่แค่เดินไป เธอจำเป็นต้องมีของไปแลกเปลี่ยน ของที่ล้ำค่าพอจะดึงดูดสายตา แต่ต้องไม่ล้ำค่าจนล่อหมาป่า สวี่จิ้งอีเหลือบมองไปที่มุมหนึ่งของกระท่อม ที่นั่นมีหีบไม้ใบเล็ก ๆ ซึ่งเป็นสมบัติทั้งหมดของเจ้าของร่างเดิมวางอยู่ ข้างในมีเพียงเสื้อผ้าเก่า ๆ สองสามชุด หนังสือเรียนมัธยมปลาย และจดหมายจากทางบ้านที่เต็มไปด้วยคำพูดสั่งสอนมากกว่าความห่วงใย ไม่มีอะไรที่มีค่าพอจะนำไปขายได้เลย

เธอยิ้มเยาะที่มุมปากอย่างเย็นชา ‘ไม่มีงั้นเหรอ?’

จิตของเธอหวนกลับเข้าไปในมิติโกดังอีกครั้ง สายตาของเธอไม่ได้มองไปที่ชั้นวางยาหรืออาหาร แต่จับจ้องไปยังกล่องไม้กำมะหยี่ที่วางอยู่ในมุมหนึ่ง ภายในนั้นคือโสมป่าอายุร้อยปีและเห็ดหลินจือดอกงามที่เธอซื้อมาจากร้านยาจีนแผนโบราณที่น่าเชื่อถือที่สุดในยุค 2025 ในยุคที่ขาดแคลนยารักษาโรคเช่นนี้ เมื่อมีของบำรุงล้ำค่าเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากมีเงิน เงินซึ่งเป็นสิ่งที่เธอต้องการอันดับแรก เธอจ้องมองไปที่โสมคนหัวใหญ่หลายหัวที่อยู่ในกล่องงดงามและทำให้ดูมีราคา มีค่ามาก

‘ทุนเริ่มต้น... มีมากเกินพอ’

ปัญหาต่อไปคือ จะนำของพวกนี้ออกมาใช้ได้อย่างไรโดยไม่ให้ใครสงสัย เพราะอยู่ดี ๆ จะให้เธอมีโสมไปขาย คนย่อมไม่เชื่อ นอกจากพวกเขาต่างก็รู้ที่มาของมัน

‘ต้องสร้างเรื่องราว ต้องหาฉากบังหน้า’

สมองของนักวางแผนเริ่มทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เธอนึกถึงแผนที่ภูมิประเทศรอบ ๆ คอมมูนชิงซานที่เคยเห็นผ่าน ๆ ในความทรงจำ ด้านหลังของหมู่บ้านคือเทือกเขาต้าชิงอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปลึกนัก เพราะกลัวสัตว์ป่าและอันตรายต่าง ๆ

‘เทือกเขาต้าชิง นั่นคือคลังสมบัติของฉัน’

เธอจะอ้างว่าเข้าไปเก็บของป่าและโชคดีไปเจอสมุนไพรล้ำค่า เป็นคำอธิบายที่เรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนี้ที่ผู้คนยังเชื่อในเรื่องโชคลางและฟ้าประทาน แม้ว่าทางการจะห้าม แต่ชาวบ้านก็คือชาวบ้าน สวี่จิ้งอีนอนนิ่ง ๆ ทบทวนแผนการทั้งหมดในหัวอีกครั้ง ปรับแก้จุดอ่อนและวางแผนสำรองสำหรับสถานการณ์ที่อาจผิดพลาด

...จนกระทั่งแสงแรกของรุ่งอรุณเริ่มจับขอบฟ้า

สวี่จิ้งอีลืมตาขึ้นก่อนใคร ร่างกายของเธอยังคงอ่อนล้า แต่ไข้ได้ทุเลาลงแล้วอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกโหวงในท้องยังคงอยู่ ทว่าสมองกลับปลอดโปร่งและเฉียบคมราวกับใบมีดที่เพิ่งลับใหม่ เธอไม่ได้ใช้เวลาไปกับการซึมซับบรรยากาศ แต่กำลังประเมินสถานการณ์รอบตัวอย่างรวดเร็วราวกับสแกนเนอร์

เสียงครืดคราดในลำคอของใครคนหนึ่งดังขึ้น ทำลายความเงียบสงัดอันเปราะบางนั้น มันไม่ใช่เสียงไอธรรมดา แต่เป็นเสียงของคนใกล้ตาย เสียงลมหายใจที่ต้องต่อสู้เพื่อผ่านหลอดลมที่อักเสบและบวมเป่ง

สายตาของสวี่จิ้งอีจับจ้องไปยังร่างที่นอนขดตัวอยู่บนฟากนอนฝั่งตรงข้าม... จ้าวหมิ่น

**** น้องต้องช่วยเพื่อนนะ ****

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel