ตอนที่6. ไม่ให้พี่น้องทะเลาะกัน
“จิ่นสือ” มารดาปรามด้วยน้ำเสียงแล้วส่ายหน้าไปมา “เอาเถอะ เห็นว่าเจ้าหิว แม่ให้คนเตรียมของบำรุงเจ้าไว้แล้ว”
“ขอบคุณท่านแม่”
ท่าทางเรียบร้อยดุจคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทำให้จ้าวจิ่นสือถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ เคอหลิ่งหลินไม่อาจสะกดอารมณ์ของนางได้อีก นางเผลอยกมือทุบโต๊ะ ลุกขึ้นยืนชี้หน้าผู้ที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเป็นน้องชายนางไปตลอดชีวิต
“จ้าวจิ่นสือ!”
ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ มือใหญ่ของนักรบผู้กล้าใช้ตะเกียบคีบขาห่านส่งเข้าปากนาง ด้วยความหิวและความโกรธนางงับลงทันที กว่าจะรู้ตัวว่าหลงกลเจ้าน้องชายเข้าให้ก็ตอนที่นางลิ้มรสนุ่มละมุ่นของห่านอบน้ำผึ้งในปากของนางเอง
เคอหลิ่งหลินจำใจนั่งลงที่เดิมแล้วใช้มือหยิบจับอาหารเป็นปกติ โธ่! นางอุตส่าห์แอบฝึกมารยาทมาอย่างดี แต่ก็ต้องหลงกลน้องชายเผยนิสัยเดิมออกมาได้ ท่านแม่ทัพและฮูหยินหันมามองหน้ากันแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ ความใฝ่ฝันของฮูหยินอี้ ซิ่วคือบุตรีน่ารักน่าเอ็นดู แม้รับเคอหลิ่งหลินมาเป็นบุตรบุญธรรม แต่นิสัยนางซุกซนเหมือนเด็กรวมทั้งกิริยามารยาทไม่ได้อ่อนหวานนัก ขัดกับใบหน้าที่ละมุนละไมของนางมาก
“เอาเถิด แบบนี้ซิถึงจะดูเป็นครอบครัวเดียวกัน”
แม่ทัพจ้าวโบกมือห้ามไม่ให้สองพี่น้องปะทะคารมกันอีกไม่ถือสานิสัยของเคอหลิ่งหลิน เพราะรู้ดีว่านางใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขามาตั้งแต่เด็กก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในกองทัพเช่นนี้
“ลำบากเจ้าดูแลจิ่นสือจริงๆ” ฮูหยินอี้ซิ่วมองหญิงสาวอย่างเอ็นดู เพราะเคอหลิ่งหลินค่อยติดตามสามีนางในสนามรบจนบัดนี้ก็มาค่อยดูแลบุตรชายคนเดียวของนางอีก ทั้งที่เป็นหญิงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่หญิงสาวทั่วไปนัก
“ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกเจ้าค่ะ” เคอหลิ่งหลินพูดยิ้มๆ อิ่มเอมกับอาหารเลิศรสแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมาก “เป็นข้าที่ควรตอบแทนบุญคุณท่านทั้งสองที่เลี้ยงดูข้าต่างหาก”
“การปราบกองโจรครั้งนี้นับเป็นผลงานยอดเยี่ยมมาก” บิดาเอ่ยขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “แต่ก็อย่าชะล่าใจ คอยฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ”
“ขอรับท่านพ่อ” แม้จะเล่นหัวกับเคอหลิ่งหลิน แต่เมื่อพูดคุยกับบิดาเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมเสมอ นั้นเพราะเขาต้องการให้บิดายอมรับว่าเขานั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่เด็กเล็กในร่างผู้ใหญ่อย่างเคอหลิ่งหลิน
“ไม่เอาน่าท่านพี่ จิ่นสือก็ทำสุดกำลังแล้ว ท่านควรผ่อนหนักเบาให้ลูกชายบ้าง”
มารดามักจะตกที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อลูกเสมอ คนหนึ่งแข็งคนหนึ่งอ่อน นางต้องคอยประนีประนอมทั้งสองฝ่าย
“ตอนนี้บ้านเมืองสงบสุขดี เราถึงได้อยู่กับพร้อมหน้า
พร้อมตาแบบนี้”
การออกไปปราบโจรป่าครั้งนี้ไม่ได้หนักหนาอะไร เพียงแต่กินเวลาไปกว่าที่จ้าวจิ่นสือคิดไว้มาก จากเดิมที่คิดว่าจะใช้เวลาเพียงแค่สามวันแต่กินเวลาล่วงไปถึงห้าวันถึงกวาดต้อนโจรป่าออกมาได้หมด รวมทั้งหัวหน้าใหญ่นั่นด้วย
“ข้ามีเรื่องอยากขอท่านพ่อ โปรดเมตตาพวกเขาด้วยเถิด เพราะความยากจนหิวโหยทำให้พวกเขากลายเป็นโจร หาได้มีสันดานเป็นโจรไม่ ข้าเองก็ไม่ต้องการให้มีการหลั่งเลือดรดแผ่นดิน จิ่นสือเองก็ออมมือไม่ทำร้ายพวกเขา”
เคอหลิ่งหลินเอ่ยตามความจริงในใจ นางเอกเองก็เคยเป็นเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นจึงเข้าใจพวกเขาเป็นอย่างดียิ่ง
“เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้กังวลไป” แม่ทัพจ้าวออกปากรับคำเองจึงทำให้เคอหลิ่นหลิงสบายใจขึ้น “ข้าจะให้จิ่นสือดูแลเรื่องนี้เอง”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” ใบหน้าอ่อนหวานคลายความกังวลและแย้มยิ้มราวกับได้ของขวัญเป็นค่าตอบแทนที่นางออกไปช่วยจ้าวจิ่นสือกวาดต้อนโจรป่าในครั้งนี้
“ช่างเถอะๆ อย่าคุยเรื่องงานเลย เอาเป็นว่าตอนนี้บ้านเมืองสงบสุข เจ้าสองพี่น้องเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงเถิดนะ”
“เข้าเมืองหลวง?” จ้าวจิ่นสือชะงักมือไปเล็กน้อย “ไปทำอะไรหรือท่านแม่”
“ฮ่องเต้มีพระราชสาส์นให้ครอบครัวของเราเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง”
