ตอนที่7.เข้าวังหรือเจ้าคะ
มารดาพูดยิ้มๆ นางไม่ได้เข้าวังไปเจอพี่น้องคนอื่นๆ นานแล้ว จึงอดยิ้มอย่างคิดถึงไม่ได้ ฮูหยินอี้ซิ่วเดิมก็คือองค์หญิงอี้ซิ่ว เป็นพระขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่เมื่อมาสมรสกับแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงที่แม้เดิมจะเป็นเพียงสามัญชนแต่มากความสามารถในการรบ นางยินดีติดตามสามีมาอยู่ชายแดน ทว่าช่วงที่บ้านเมืองยังไม่สงบ แม่ทัพจ้าวร้องขอให้ฮูหยินและบุตรชายรั้งอยู่เมืองหลวงหลายปี จนแม่ทัพจ้าวกวาดล้างเหล่ากบฏชายแดนได้หมด จึงให้ครอบครัวได้เดินทางมาพำนักพักอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
“หมายถึงเข้าวังหรือเจ้าคะ” คิ้วเรียวก็ขมวดยุ่งขึ้นมาทันที “ข้าต้องไปด้วยหรือ”
สำหรับเคอหลิ่งหลินแล้ว นางเคยเข้าเมืองหลวงแต่ไม่เคยเข้าวังเลยสักครั้ง เพียงแค่คิดว่าต้องอยู่ในสถานที่อึดอัดที่ต้องคอยระวังกิริยามารยาทแล้วละก็...
“เป็นอะไรไป ผู้กล้าอย่างหลิ่งหลินไม่กล้าเข้าวังหลวงรึ” จ้าวจิ่นสือดูออกถึงความกังวลของนางแต่ก็อดล้อมิได้ ก็แน่ล่ะ เขาเติบโตในรั้วในวังก่อนออกมาใช้ชีวิตข้างนอกจึงไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลอะไร แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นกับพิธีรีตองต่างๆ อย่างเคอ หลิ่นหลิงมันคงเป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อย
“ให้ข้าเข้าป่ายังจะดีเสียกว่า”
ทั้งบิดามารดาบุญธรรมถึงกับสำลักน้ำชา ฮูหยินอี้ซิ่วถึงกับหัวเราะออกมา เพราะหญิงสาวช่างทำตัวเหมือนสามีของนางสมัยที่ยังทั้งสองครองรักกันใหม่ๆ นัก
“หลินเอ๋อร์ แม่อยากให้เจ้าไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่”
เคอหลิ่งหลินแอบถอนหายใจเบาๆ แต่ละเรื่องในวังหลวงที่ลอยเข้าหูนางไม่เห็นมีเรื่องสนุกสักเรื่อง นางจึงไม่เคยมีความคิดอยากย่างกรายเข้าไปใกล้ แต่เมื่อเห็นสายตาของแม่บุญธรรมแล้ว นางก็ได้แต่ก้มหน้าจัดการอาหารบนโต๊ะโดยไม่พูดอะไร
“ปีนี่พวกเจ้าทั้งคู่ก็อายุยี่สิบกันแล้ว พ่อกับแม่ก็เห็นว่ามันควรแก่เวลาที่พวกเจ้าจะแต่งงานกันได้เสียที”
อุ๊ก! แค่กๆ
เป็นเสียงสำลักของพี่น้องต่างสายโลหิต โดยเฉพาะเคอ หลิ่งหลินถึงกับเนื้อแกะติดคอ ฮูหยินอี้ซิ่วต้องยื่นมือมาทุบหลังให้นาง
“ท่าน...ท่านแม่ ข้าว่าท่านอย่าลำบากคิดเรื่องนี้ให้ข้าเลย” เคอหลิ่งหลินยิ้มเจือนเหมือนคนปวดท้อง
“ใช่...ท่านแม่ข้าเองก็อยากทำงานรับใช้ราชสำนักเช่นกัน” จ้าวจิ่นสือพูดขึ้นบ้าง
“หลิ่งหลิน” ฮูหยินอี้ซิ่วเรียกสติ “เจ้าอายุยี่สิบแล้ว สาวบ้านอื่นออกเรือนตั้งแต่สิบสี่สิบห้า แต่เจ้ายี่สิบแล้วนะ เจ้าจะให้แม่รู้สึกผิดที่เจ้าไม่ได้ออกเรือนเพราะมัวแต่ช่วยงานท่านแม่ทัพหรืออย่างไร”
“สิ่งที่ข้าทำล้วนทำด้วยความเต็มใจยิ่งแล้วท่านแม่” นางทำหน้าหมองก่อนจะเหลือบตามองคนที่ชะตากรรมเดียวกันแล้วฉีกยิ้มออกมา “ถ้าจ้าวจิ่นสือยังไม่ได้แต่งงาน ข้าจะแต่งก่อนก็กระไรอยู่นะเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยวๆ เจ้าอย่ามาโบ้ยใส่ข้านะ” จ้าวจิ่นสือหันไปถลึงตาใส่เคอหลิ่งหลิน
“ถ้าจิ่นสือยังไม่แต่งงาน ข้าจะออกเรือนก่อนได้อย่างไรกัน” เคอหลิ่งหลินชิงพูดขึ้นมาก่อน แสร้งทำหน้าเป็นห่วงเป็นใยน้องชายที่อายุอ่อนกว่าเพียงครึ่งปีเท่านั่น
“แต่ว่ากันตามจริงคนเป็นพี่สมควรออกเรือนก่อนน้องมิใช่หรือ”
เอาซิ! หากนางอยากเป็นพี่สาวนัก เขาก็ยกตำแหน่งให้นางได้แต่งงานก่อนเขา
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ยิ่งเจ้าเห็นข้าเป็นพี่ พี่สาวคนนี้มีหน้าที่ต้องดูแลน้องชายให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียก่อน” นางประสานสายตาอย่างไม่ยอมแพ้
“พอเถอะๆ จะเกี่ยงกันไปไย ถึงอย่างไรพวกเจ้าทั้งสองต้องแต่งงาน” แม่ทัพจ้าวอาศัยความเป็นบิดามากำราบเด็กสองคนที่ไม่รู้จักโตเสียนิ่งสนิท “จะใครแต่งก่อนแต่งหลังก็ต้องแต่งด้วยกันทั้งคู่นั้นแหละ”
“เอาล่ะๆ เรื่องนี้คุยกันวันหลังก็ได้ เจ้าทั้งสองเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
แม่ทัพกับฮูหยินออกจากห้องไป เคอหลิ่งหลินถอนหายใจยาวแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเดินออกมาด้านนอก
“ที่หลังของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” จ้าวจิ่นสือส่งเสียงถามเจือความห่วงใย
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ข้าแค่กลิ้งล้มไปหลายตลบและตกหลังม้าไปครั้งสองครั้งเท่านั้น”
“คราวหน้าคราวหลังเจ้าก็เลิกเอาตัวเองมาบังข้าเสียที ข้าดูแลตัวเองได้” เขารู้ดีว่าที่นางบาดเจ็บเพราะค่อยปกป้องเขาเสมอ
