ตอนที่14. เรื่องเล็กน้อย
“แย่จริง เสื้อของแม่นางขาด”
“เรื่องเล็กน้อย”
ไม่หรอก มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะนางไม่ชอบเย็บผ้า และนางเกรงใจชุนเอ๋อร์ แม้ว่าชุนเอ๋อร์มีหน้าที่ดูแลนางก็เถอะ อาจเพราะครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ จึงทำให้ใบหน้าของนางขมวดคิ้วดูกังวลเกินเหตุ
“ให้พวกเราได้เลี้ยงน้ำชาแม่นางเป็นการตอบแทนดีไหม ระหว่างนั้นแม่นมเหมยจะช่วยซ่อมเสื้อที่ขาดให้เจ้าเอง”
น้ำเสียงอ่อนโยนที่เอ่ยขึ้นทำให้เคอหลิ่งหลินหันไปมอง นางคุ้นชินกับเสียงผู้ชายที่ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ซ้ำยังไม่เคยเจอใครพูดจาน้ำเสียงน่าฟังอย่างนี้กับนางทำให้นางเผลอมองเขาอย่างตื่นตะลึง แม้สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่เนื้อผ้าอย่างดีและถือพัดในมือ ทำให้รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อเขาขยับเท้าเข้ามาใกล้ก็ทำให้เคอหลิ่งหลินรู้ว่าเขาสูงกว่านางมาก แต่รูปร่างผอมบางและผิวขาวซีดไปเสียหน่อย
“ข้าบอกว่าไม่เป็นไร ก็คือไม่เป็นไร” นางโบกไม้โบกมือไปมา ดูสารรูปตัวเองซิ! เป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังงดงามไม่ได้เพียงเสี้ยวของผู้ชายตรงหน้าเลย
“เอาเถิด...หากแม่นางไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร พวกเราพักอยู่ที่บ้านสกุลเหวิน หากแม่นางอยากมาเยี่ยมเยือนในวันหน้าก็ได้”
“ได้ๆ วันนี้เย็นแล้ว ข้าต้องกลับก่อน ข้าต้องไปดูแลม้าในคอกด้วย”
พูดไปแล้วก็นึกอยากตบปากตัวเอง ไปบอกเขาทำไมว่านางต้องดูแลม้า! นางหัวเราะเขินๆ แล้วรีบเดินเร็วๆ แต่หัวใจของตนนั้นเต้นรัวราวกับกลองรบ ตั้งใจจะใช้วิชาตัวเบากระโดดไปตามแนวหลังคาบ้านจะได้กลับจวนแม่ทัพจ้าวอย่างรวดเร็ว ทว่าเพราะตัวเองเสียสมาธิหัวใจสั่นไหวกับดวงตาอ่อนโยนที่ทอดมองทำให้นางก้าวพลาดตกหลังคา ดีที่ไม่สูงนักและไหวตัวทันจึงม้วนตัวลงมายืนบนพื้นได้
“อะไรกัน เคอหลิ่งหลินที่วิชาตัวเบาเป็นเลิศถึงขั้นพลาดท่าตกหลังคาได้เนี้ยนะ รู้ถึงไหนอายถึงนั้น”
“จิ่นสือ!” นางหันมาทำเสียงดุใส่ชายหนุ่มที่อายุอ่อนกว่านางเพียงห้าเดือนเท่านั้น
“ทำอะไรไม่สมกับเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย มิน่าท่านแม่ถึงได้บ่นกลัวจะไม่มีใครกล้ามาสามีให้เจ้า” จ้าวจิ่นสือพูดพลางส่ายหน้าระอาใจ
“เจ้า! ข้าเป็นพี่สาวเจ้านะ! พูดจาให้มันดีๆ หน่อยเถอะ”
“เหอะ! ถ้าข้าไม่ตกหลุมพรางของเจ้า ข้าก็ไม่ต้องเรียกเจ้าว่าพี่หรอกนะ”
“งั้นก็ยอมรับแล้วซิ ว่าข้าฉลาดกว่า” เคอหลิ่งหลินพูดพลางปัดเศษหญ้าตามเนื้อตัวออก
“เหอะ!” จ้าวจิ่นสือทำเสียงในลำคออย่างไม่พอใจนัก
“อย่างเจ้าเขาเรียกเจ้าเล่ห์มิใช่ฉลาด”
“เอาน่ายังไงข้าก็ได้เป็นพี่สาวเจ้าก็แล้วกัน” ปลายนิ้วจิ้มมาที่หน้าผากของอีกฝ่าย แต่นางชะงักมือไปเล็กน้อย ท่าทางของนางทำให้ จ้าวจิ่นสือขมวดคิ้ว
“เป็นอะไรไปรึ” เขาเองก็ชินกับการตีสนิทเสมอตัวของนางแล้ว
“เจ้านี่...สูงขึ้นหรือเปล่านะ”
“แน่ล่ะ ข้าก็ต้องสูงใหญ่และหล่อเหลาเป็นธรรมดา”
“หล่อเหลา? เจ้านี่กล้าประกาศว่าตัวเองหล่อเหลางั้นเหรอ”
เคอหลิ่งหลินถึงกับหัวเราะออกมา เติบโตมาพร้อมกัน ตั้งแต่ออกจากบ้านป่านางติดตามท่านแม่ทัพออกศึก ในขณะที่จ้าวจิ่นสือศึกษาตำราและฝึกฝนอยู่ที่วังหลวงเป็นส่วนใหญ่ ปีหนึ่งจะได้เจอกันกันไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้งราวครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน แต่เมื่อเขาอายุครบสิบแปดก็มาเป็นเรี่ยวแรงสำคัญให้บิดาของเขา
“เจ้าอยู่กับพวกทหารจะรู้ได้ไงว่าบุรุษผู้หล่อเหลาเป็นเช่นไร”
ประโยคของจ้าวจิ่นสือทำให้เคอหลิ่งหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ใครว่าละ? นางเพิ่งเจอบุรุษผู้หล่อเหลาเข้าให้แล้ว เขาดูสุภาพนักทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรกก็ยังมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน นางเติบโตกับบิดาที่เป็นโจรภูเขาแล้วยังมาติดตามท่านแม่ทัพอีก นางพบสายตาเย็นชาหรือเคียดแค้นจนชาชินแล้ว เป็นครั้งแรกที่นางถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น มันทำให้หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ
“หลิ่งหลิน” จ้าวจิ่นสือยื่นหน้าไปจองดูใบหน้าเหม่อลอยของหญิงสาวที่ยืนนิ่งไป “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ดูแปลกๆ หรือไม่สบาย”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” นางส่ายหน้าไปมา ทำท่าอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยออกมา “ผู้ชายที่เมืองหลวงนี่เขาชอบสตรีแบบใดรึ”
“หือ?” จ้าวจิ่นสือผงะไปเล็กน้อยไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามนี้จากปากของหลิ่งหลิน
“เจ้าได้ยินที่ข้าถามแล้วก็ตอบมาซิ” นางทำเสียงเขียว
