ตอนที่28. ทำไมท่านมาอยู่ในห้องนี้
“ทะ..ทำไม... ทำไมท่านมาอยู่ในห้องนี้!” นางถึงกับพูดจาตะกุกตะกัก จับคำพูดตัวเองเรียงเป็นประโยคแทบไม่ถูก
“ข้าควรถามเจ้ามากกว่า มาอยู่ในห้องข้าได้อย่างไรกัน!”
เขาถลึงตาใส่ แต่หัวคิ้วก็ขมวดยุ่งเมื่อสังเกตว่าหญิงสาวไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเก่าซีดเหมือนทุกครั้ง นางดูราวกับดอกไม้เล็กๆ น่าทะนุถนอมบอบบางในชุดสีชมพูดอกอิงฮวา(ดอกซากุระ) แล้วเขาก็นึกได้ว่าชุดนี้เป็นชุดของเคอหลิ่งหลิน นางใส่เพียงครั้งเดียวเมื่อหลายปีก่อนและไม่เคยเห็นนางใส่อีกเลย
น่าชังนัก! ทำไมนางต้องใส่ชุดที่เขาเป็นคนซื้อให้เคอหลิ่งหลินด้วย!
คราวนั้นเขาอยู่ในเมืองหลวง เห็นบรรดาหญิงสาวชาววังชอบแต่งกายกันเช่นนี้ อุตส่าห์ทำใจกล้าเดินเข้าไปซื้อ ไม่สนใจสายตาหญิงสาวที่จ้องมองเขาแล้วเอียงหน้าชิดกันกระซิบกระซาบสายตาจับจ้องที่ตัวเขา นางก็อุตส่าห์ใส่ให้เขาดูแค่หนเดียว มันดูประดักประเดิดจริงๆ เป็นเพราะเขาประเมินขนาดรูปร่างของนางผิดไป
จริงอยู่ ของที่ให้นางไปแล้ว นางจะทำเช่นไรก็ได้ แต่... เขาจะหงุดหงิดน้อยกว่านี้ถ้าคนที่ใส่อยู่ไม่ใช่บุตรสาวท่านหมอมู่ เดี๋ยวนะ นางชื่ออะไร?
“ข้า! ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านี่ห้องของเจ้า!” นางยืดอกเต็มความสูง แต่ก็...ยืดเต็มตัวแล้วก็ยังได้แค่ปลายคางของเขาเท่านั้น แต่ถึงนางจะตัวเล็ก นางก็ไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงได้เด็ดขาด!
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ!” หน็อย! ยัยเด็กขาดอาหารผู้นี้ กล้าพูดจาไม่เกรงกลัวเขาเลยสักนิด
“หูท่านหาเรื่องข้าหรือไร” นางพลิกลิ้น ไม่ยอมรับว่าเผลอเรียกเขาแบบเสมอตัว
“เฮอะ! เป็นสาวเป็นนาง ได้ยินเสียงผู้ชายเรียกก็รีบเปิดประตูเข้ามาแล้วรึ!”
เขาเดินวนรอบตัวของหญิงสาว ปกตินางแต่งตัวเสื้อผ้าปานผ้าขี้ริ้ว พอได้แต่งชุดสวย นางก็...ดูดี ขึ้นมานิดหน่อย คงเพราะสีชมพูของผ้าที่ขับเน้นผิวขาวของนาง หรือเพราะนางกำลังโมโหแก้มเนียนจึงแดงระเรื่อ หรือเพราะว่านางพยายามเชิดหน้าอยู่จึงเห็นว่าจมูกนั้นเชิดรั้นรับกับปากเล็กจิ้มลิ้มนั้น
หญิงสาวรู้สึกถึงสายตาที่คุกคาม นางกอดห่อผ้าในอกแน่นราวกับจะใช้มันเป็นเกราะป้องกันตัวเอง แน่นอนว่านางเสียเปรียบนัก เสียสติไปแล้วที่ได้ยินเสียงผู้ชายก็เดินเข้ามาหาถึงในห้อง ก็สมควรแล้วที่ท่านพ่อจะดุนางบ่อยๆ ว่านางนั้นขาดความสุขุมรอบคอบเช่นที่หมอควรเป็น แล้วนางก็นึกได้ ก้มมองในอ้อมอกแล้วรีบยื่นมันออกไปสุดแขนชนกับแผงอกกว้างของอีกฝ่าย
“ข้าเอาหนังสือมาคืน”
“ข้ายังไม่ได้ทวงเสียหน่อย” รอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก แต่เพราะใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราทำให้อีกฝ่ายมองไม่เห็นได้ชัดนัก
“ข้าอ่านจบแล้ว” ‘เพราะข้ากำลังจะไปที่อื่น’ นางเก็บถ้อยคำของตัวเองไว้พูดออกไปไม่หมด นางจะอยู่หรือไปก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ติดค้างแค่หนังสือที่ยืมมาเท่านั้นเอง
“จำได้ไหมว่าข้าบอกว่าต้องตรวจหนังสือทุกแผ่นทุกหน้า”
“ได้ ท่านก็เชิญตรวจได้เลย” นางไม่กลัวหรอก เพราะนางไม่ได้ทำหนังสือเสียหาย แต่น้ำเสียงของเขามันช่างยั่วยุกวนโทสะให้ระอุเสียจริง
จ้าวจิ่นสือมองหนังสือในมือของนาง เขายื่นมือไปรับหนังสือ ดูนางผ่อนคลายที่เขารับหนังสือจากมือนางแล้ว ทว่าเพียงพริบตาเดียว เขากลับดึงข้อมือของนาง กระชากร่างบางที่ไม่ทันตั้งตัวเข้ามาปะทะกับแผงอก
“อ๊ะ!” มู่ฟางเหนียงร้องเสียงหลง ไม่คิดว่าเขาจะรวบนางไปกักขังในวงแขนเช่นนี้ นางถลึงตามองเขา แต่เพราะความสูงที่ต่างกันมาก นางต้องแหงนหน้าคอแทบตั้งบ่าเลยทีเดียว
“เจ้าทำบ้าอะไร!” นางดิ้นขลุกขลักแต่เขากลับรัดนางแน่นขึ้น
“แค่เอาหนังสือมาคืน เจ้าต้องแต่งตัวมายั่วยวนข้าขนาดนี้เลยรึ” น้ำเสียงยั่วล้อของเขาลอยวนที่ริมหูของหญิงสาว ลมหายใจผ่าวร้อนทำให้ใบหน้าของนางกลับแดงเข้มขึ้น
“ยั่วยวน!” นางโกรธจนแทบจะฉีกทึ้งเขาออกมาเป็นชิ้นๆ แต่สองมือเล็กๆ กลับทำอะไรไม่ได้เลย “วาจาของเจ้าช่างกล่าวคำสกปรกได้หน้าตาเฉยเหลือเกิน!”
“ก็เจ้ายั่วยวนข้าจริงๆ นี่ ยิ่งดิ้นรนเช่นนี้ เจ้าไม่รู้สึกรึว่าร่างกายเจ้าเสียดสีกับร่างกายของข้าอยู่นะ แล้วแบบนี้จะไม่เรียกว่ายั่วยวนได้อย่างไรกัน”
จ้าวจิ่นสือหัวเราะ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของเขาทำให้มู่ฟางเหนียงโกรธจนคิดอะไรไม่ออก ไม่ดิ้นรนก็จะกลายเป็นเต็มอกเต็มใจ พอดิ้นรนก็กลายเป็นยั่วยวนอีกฝ่าย นางอยู่มาสิบหกปีไม่เคยมีชายใดทำกับนางอย่างนี้มาก่อน แม้จะเป็นหมอหญิงถูกสายตาดูถูกดูแคลนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยมีใครกล่าวหาว่าร้ายนางให้เสียเกียรติเช่นนี้ นางโกรธเขาแต่โกรธตัวเองมากกว่าที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางคิดเสมอว่าตัวเองนั้นเก่งกาจสามารถดูแลตัวเองและท่านพ่อได้ ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกว่าแท้จริงแล้วนางอ่อนแอเกินไป ไม่รู้วิธีรับมือเหตุการณ์เช่นนี้เลยด้วยซ้ำ
