ตอนที่23.ดวงตามคมดุจเหยี่ยว
ดวงตามคมดุจเหยี่ยวจ้องมองผู้หญิงหญิงสาวในวงแขน แม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันตลอดเวลา แต่เขาก็เห็นนางมาตั้งแต่อายุสิบสาม เขาอ่อนเดือนกว่าไม่เท่าไหร่ก็ถูกนางขโมยตำแหน่ง ‘พี่’ ไปเสียก่อน เคยประลองกระบี่นับครั้งไม่ถ้วน ทว่าไม่เคยโอบกอดนางไว้ในวงแขนเช่นนี้
“เร็วเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูฟื้นแล้ว” ชุนเอ๋อร์รีบเปิดประตูให้ฮูหยินเข้ามา ไป แต่ก็ต้องตกใจที่เห็นคุณชายกำลังอุ้มคุณหนูอยู่อย่างนั้น
“จิ่นสือ? หลิ่งหลิน?”
“ท่านแม่ ข้าว่ารีบตามหมอมาดูอาการพี่สาวเถิด นางไม่มีแม้แต่แรงจะทรงตัวยืนได้เลย” เขาพูดแล้ววางร่างของเคอหลิ่งหลินลงบนที่นอนตามเดิม
“อ่อๆ ใช่ๆ ตามหมอ เจ้าให้คนไปเชิญท่านหมอมาด่วนเลยนะ”
“เจ้าค่ะๆ บ่าวจะรีบไปให้คนไปตามท่านหมอ” ชุนเอ๋อร์รีบวิ่งออกไป ประตูเปิดค้างอยู่ ร่างสูงสง่าของแม่ทัพจ้าวก็ก้าวเข้ามาในห้อง
“หลินเอ๋อร์” เป็นพ่อบุญธรรมที่เรียกนางเสียงเข้ม แววตามีความสงสารระคนโมโห เพราะรู้สึกผิดที่อนุญาตให้นางนำเมฆเหินไปหุบเขาชิงซานโดยไม่คาดคิดว่านางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านเป็นห่วง”
“เด็กโง่ มีพ่อแม่ที่ไหนไม่ห่วงลูกตัวเองบ้าง”
ฮูหยินอี้ซิ่วนั่งลงข้างเตียง มือหนึ่งก็เช็ดหางตา อีกมือก็จับมือของเคอหลิ่งหลินเอาไว้ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาลูกสาวบุญธรรมบาดเจ็บสาหัส หลับๆ ตื่นๆ ไม่ได้สติ ข้าวปลาไม่ได้กิน ข้อมือของนางจึงเล็กลงไปมาก แทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกเลยด้วยซ้ำ
“ข้าผิดไปแล้ว ท่านแม่อย่าร้องไห้ซิสิ” นางพยายามจะหัวเราะแต่ทำได้แค่ยิ้มเท่านั้น แต่เมื่อมองไปทางท่านแม่ทัพที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ก็ทำได้แค่เม้มปาก นางผิดต่อพ่อบุญธรรมเป็นที่สุด
“เจ้าฟื้นก็ดีแล้ว รีบๆ ฟื้นตัวเอง เจ้ายังติดค้างข้าเรื่องสำคัญกับข้าอยู่” แม่ทัพจ้าวได้แต่ถอนหายใจหนักๆ ส่วนหนึ่งคือความโล่งอกที่เห็นนางฟื้นได้สติ อีกส่วนคือต้องการรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับนาง
“ข้าทราบแล้วท่านพ่อ” นางเรียกอย่างเอาใจ
“ท่านแม่ ข้าหิวจัง” นางเริ่มออดอ้อนทำตัวเป็นลูกสาวคนดี
อากัปกิริยานี่นี้ทำให้จ้าวจิ่นสือเค้นเสียงหัวเราะในลำคอ แม้เคอหลิ่งหลินจะยังไร้กำลังเรี่ยวแรงฟื้นคืน แต่ก็ใช้สายตาดุๆ จ้องมองไปทางเขาได้
“ดีเลย หิวแล้วแสดงว่าร่างกายกำลังฟื้นตัว กินโจ๊กร้อนๆ ดีกว่านะ” ฮูหยินหันไปเห็นชุนเอ๋อร์วิ่งกลับเข้ามาพอดี “ชุนเอ๋อร์ไปให้พ่อครัวเตรียมโจ๊กร้อนๆ ให้คุณหนูสักชาม”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” ชุนเอ๋อร์หมุนตัววิ่งออกไปอีกรอบ
“พวกเราก็ออกไปก่อน ปล่อยให้หลินเอ๋อร์พักผ่อน รอท่านหมอมาตรวจอาการอีกที” แม่ทัพจ้าวพูดเหมือนสั่งแล้วหันไปทางลูกชาย
“เจ้าก็เหมือนกันจิ่นสือ เวลานี้เจ้าควรฝึกทหารมิใช่รึ”
“ขอรับท่านพ่อ” จ้าวจิ่นสือก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงรับคำสั่งท่านพ่อ ลืมไปหรือไรว่าเขาเพิ่งกลับมาบ้าน ท่านแม่ก็ไม่เอ่ยถามสักคำ แต่ช่างเถอะ ทุกคนตื่นเต้นดีใจที่เห็นเคอหลิ่งหลินลืมตาเสียที
เขาปรายตามองคนที่นอนบนเตียงเพียงครู่หนึ่งแล้วก้าวออกไป ครู่หนึ่งรู้สึกได้ว่ามีใครเดินเร็วๆ ตามหลังมา เขาจึงหยุดและหันไปมอง เห็นพ่อบ้านตู้ที่ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ท่าทางรีบร้อน
“มีอะไร”
“นายท่านให้คุณชายไปรอที่ห้องอักษรก่อนขอรับ”
“เข้าใจแล้ว”
“ข้าน้อยขอตัวไปเชิญท่านหมอมู่ก่อนขอรับ” พ่อบ้านตู้ก้าวถอยหลังออกไป
จ้าวจิ่นสือถอนหายใจหนักหน่วง เรื่องเขาไปไหนมีแต่ท่านพ่อเท่านั้นที่รู้ แม้จะอยากพักแต่ตอนนี้ก็พักไม่ลง พอเห็นเคอหลิ่งหลินลืมตาพูดจาหยอกล้อกับเขาได้ หัวใจที่หนักอึ้งก็เบาลง.
เสียงร้อนรนเรียกอยู่หน้าบ้านทำให้มู่ฟางเหนียงวางมือจากการเก็บสมุนไพรเบื้องหน้า หญิงสาวเดินมาไปหน้าบ้านก็เห็นพ่อบ้านตู้ยืนกระสับกระส่ายและมีรถม้าจอดรออยู่หน้าบ้านแล้ว
“แม่นางมู่ ...ท่านหมออยู่หรือไม่”
“ท่านพ่อไปรักษาคนป่วยอีกหมู่บ้าน จะกลับวันพรุ่งนี้เจ้าคะค่ะ” มู่ฟางเหนียงคลี่ยิ้มน้อยๆ ทำให้ใบหน้าดูละมุนและอ่อนหวานนัก
“ทำอย่างไรดี...คุณหนูฟื้นแล้ว”
“พี่หลิ่งหลินฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ”
นางยิ้มกว้างมากขึ้น เป็นอย่างที่ท่านพ่อคาดการณ์ไว้ไม่ผิด ไม่วันนี้ก็อย่างช้าไม่เกินหนึ่งหรือสองวันนี้ เคอหลิ่งหลินจะตื่นฟื้น ท่านพ่อจึงไม่ให้นางติดตามไปช่วยดูแลรักษาคนป่วยอีกหมู่บ้านที่ผู้ใหญ่บ้านอุตส่าห์จัดหารถม้ามาเชิญไป ท่านให้นางเตรียมตัวและเตรียมยาสำหรับเคอหลิ่งหลิน ไม่คิดว่าเช้านี้จะได้ยินข่าวดีแล้ว
“เพิ่งฟื้นเมื่อครู่ ท่าทางอ่อนเพลียมาก”
“ท่านพ่อบอกข้าน้อยให้เตรียมตัวไว้แล้ว โปรดรอสักครู่ ขอไปหยิบล่วมยาก่อนเจ้าคะค่ะ”
