ตอนที่12.ท่านหญิงมีน้องชายหรือไม่เจ้าคะ
“มีอะไรรึ” ชุนเอ๋อร์หันมาถามด้วยรอยยิ้ม นางรู้สึกเอ็นดูหญิงสาวอายุน้อยคนนี้เหมือนกัน
“พี่สาว เอ๊ย! ท่านหญิงมีน้องชายหรือไม่เจ้าคะ”
“น้องชาย?” ชุนเอ๋อร์ทำหน้าประหลาดใจกับคำถามที่ได้ยิน “คุณหนูเป็นลูกคนเดียว บิดาแท้ๆ ของนางปกป้องท่านแม่ทัพจนตัวเองตาย ท่านแม่ทัพจึงรับคุณหนูเป็นลูกบุญธรรม ไม่มีพี่น้องที่ไหน ยกเว้นคุณชายจ้าวจิ่นสือที่เจ้าเจอเมื่อครู่ คุณชายเป็นบุตรคนเดียวของแม่ทัพจ้าวกับฮูหยินอี้ซิ่ว เมื่อท่านแม่ทัพรับคุณหนูมาเป็นลูก ทั้งสองก็เปรียบเสมือนพี่น้องกัน คอยดูแลซึ่งกันและกันมาตลอด”
“เปรียบเสมือนพี่น้อง...คนผู้นั้นคงไม่ใช่น้องชายของ...” นางเริ่มทำหน้าไม่ถูก หวังว่าการคาดเดาของนางจะผิดพลาด
“เรื่องนี้มีแต่คนในจวนเท่านั้นที่รู้ คุณชายพลั้งเผลอยอมให้คุณหนูเป็นพี่สาว ทั้งที่อายุห่างกันเพียงแค่ห้าเดือนเท่านั้น”
พูดแล้วชุนเอ๋อร์ก็ป้องปากหัวเราะเบาๆ นางติดตามรับใช้คุณหนูมานาน เรื่องราวของนายนินทาไม่ได้ แต่ไม่ถึงกับห้ามพูดถึง นางเพิ่งรู้สึกว่าคนที่เดินตามมาหยุดเดินจึงหันไปดู เห็นสีหน้าตกใจของมู่ฟางเหนียงแล้วก็อดถามไม่ได้
“มีอะไรรึ”
“มะ..ไม่...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”
นางยิ้มฝืดออกมาแล้วเดินตามชุนเอ๋อร์ ในใจว้าวุ่นยิ่งนัก อย่าบอกนะว่า...ชายผู้นั้นคือ ‘น้องชาย’ ของพี่สาวคนดีของนาง.
เจ้าของร่างบางนั่งก้มหน้าก้มตาตวัดพู่กันคัดลอกตำราอย่างไม่สนใจว่ามีคนเดินเข้ามาหยุดมองอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เงยหน้าขึ้นมาง่ายๆ จึงกระแอมไอเรียกลูกสาวของตนเอง
“เหนียงเอ๋อร์”
“ท่านพ่อ” มู่ฟางเหนียงเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมเป็นประกายมีแววประหลาดใจที่เห็นบิดายืนจ้องหน้านางอยู่
“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ เอ...นี่เวลาใดกัน ลูกยังไม่ได้เตรียมอาหารเลย”
“สองวันมานี้ พ่อเห็นเจ้าตั้งหน้าตั้งตาคัดลอกตำราแทบทั้งคืนทั้งวัน เจ้าอยากได้ตำราแพทย์เล่มนี้จริงๆ รึ”
ผู้เป็นพ่อได้แต่ส่ายหน้าไปมา จริงอยู่ว่าฐานะของสองพ่อลูกจะซื้อหนังสือแต่ละเล่มนั้นเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่สามารถซื้อมาครอบครองได้ สองสามวันก่อน ลูกสาวไปดูอาการเคอหลิ่งหลินที่จวนแม่ทัพจ้าว ได้ตำราแพทย์มาสามเล่ม ได้ยินว่าฮูหยินอี้ซิ่วให้ยืมอ่าน จะคืนเมื่อใดก็ได้ แต่ลูกสาวของเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านและคัดลอกบางส่วนที่นางไม่เคยรู้มาก่อน
“ที่ผ่านมาเราสองคนพ่อลูกอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง สองปีมานี้เราอยู่ติดที่ไม่ได้โยกย้ายไปไหน ลูกก็เลยอยากสะสมตำราแพทย์เหล่านี้ ทั้งความรู้ที่ท่านพ่อมี ข้าก็คัดลอกไว้เป็นตำราศึกษาทบทวนความรู้ แต่ท่านพ่อไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ถ้าถึงเวลาที่เราต้องเดินทาง ลูกจะเป็นคนแบกหนังสือเหล่านี้เอง”
มู่หยางซัวมองลูกสาวที่แย้มยิ้มราวกับไม่น้อยเนื้อต่ำใจที่ตนเองต้องระหกระเหินติดตามบิดาไม่ได้ความอย่างเขา เขานั่งลงใกล้ๆ ลูกสาว ปีนี้นางอายุสิบหกแล้ว เป็นสาวสวยงดงามแต่ยังสวมเสื้อผ้าเก่าๆ เต็มไปด้วยรอยปะชุน มือทั้งสองก็หยาบกระด้างเพราะต้องช่วยงานเขาอยู่เสมอ
“ลูกขอโทษ” นางเอ่ยเสียงแผ่ว แล้ววางพู่กันในมือลง
“ขอโทษเรื่องอันใดกัน” ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วอย่างงุนงง
“ลูกควรจะขึ้นเขาไปหาสมุนไพรกับท่าน ไม่ควรเอาแต่ขลุกอยู่กับการคัดลอกตำราเหล่านี้”
“พ่อไม่ได้คิดเรื่องนั้น” มู่หยางซัวส่ายหน้าไปมา “ลูกอยากอยู่ที่นี่ไหม”
“อยู่ที่นี่?” นางทวนคำ ทำหน้างุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน “ท่านพ่อหมายถึงอะไรเจ้าคะ”
“เราเดินทางกันมานานแล้ว ถ้า...ถ้าลูกอยากอยู่ที่นี่ พ่อจะลองปรึกษากับเศรษฐีกู่หลิน ขอผ่อนซื้อบ้านหลังนี้ให้เจ้าอยู่”
“ซื้อบ้านให้ลูกอยู่? แล้วท่านพ่อล่ะเจ้าคะ”
“พ่อก็อยู่กับเจ้านั่นแหละ” ผู้เป็นพ่อหัวเราะออกมา
“ก็ท่านพูดเหมือนจะให้ลูกอยู่คนเดียวนี่เจ้าคะ” นางเบ้ปากน้อยๆ “ท่านอยู่ไหน ลูกอยู่นั่น ยกเว้นท่านพ่อจะมีภรรยาใหม่แล้วไม่ให้ลูกอยู่ด้วย”
“เจ้านี่ก็ชอบผลักไสให้พ่อมีภรรยาเสียจริง”
“ก็ลูกเป็นห่วงท่านนี่นะ” นางหัวเราะออกมา ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ เสียงร้องเรียกอยู่หน้าบ้านก็ดังขึ้น ครู่ต่อมาเจ้าของเสียงก็วิ่งถลาเข้ามาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ
“พี่ฟางเหนียง”
“มีอะไรรึเสี่ยวจิง” มู่ฟางเหนียงถามเด็กชายวัยสิบขวบที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“วัว...วัวของข้ามันเจ็บท้องตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้มันยังไม่ออกลูกมาให้ข้าเลย”
