ตอนที่ 26.ผู้ใหญ่ให้ก็รับไปเถอะ
เสียงถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะพาร่างบางของตนเองออกมายืนเบื้องหน้า เคอหลิ่งหลินยิ้มออกมา ที่ผ่านมานางเห็นมู่ฟางเหนียงเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ด้วยความที่นางติดตามบิดาตรวจรักษาคนเจ็บคนป่วยโดยไม่สนใจฐานะของอีกฝ่าย มู่ฟางเหนียงมักจะสวมเสื้อผ้าเก่าๆ โดยให้เหตุผลว่านางมักทำเสื้อผ้าเลอะเทอะ ซักแล้วก็ยังทิ้งคราบ จึงไม่อยากใส่เสื้อผ้าชุดใหม่นัก ผิดกับบิดาของนาง แม้จะเป็นเสื้อผ้าชุดเก่าแต่สะอาดสะอ้าน รอยปะชุนก็ประณีตเรียบร้อย
เคอหลิ่งหลินพยักหน้าอย่างพอใจ สมกับที่เป็นชุนเอ๋อร์ รู้ใจราวกับเป็นพยาธิในท้องนางเสียนี่กระไร ชุดนี้ได้เป็นของขวัญเมื่อหลายปีก่อน นางเคยใส่หนเดียวแล้วรู้สึกกระดากเขินอาย ซ้ำยังรู้สึกว่าเสื้อผ้าชุดนี้เล็กกว่ารูปร่างของนางอีก นางจึงให้ชุนเอ๋อร์พับเก็บไว้จนลืมไปเสียสนิท
“พี่สาว”
“อ้อ! ชุดนี้ข้าใส่ไม่ได้แล้ว เจ้าเอาไปเถอะนะ”
“ไม่ได้หรอก ข้าจะรับของมีราคาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” มู่ฟางเหนียงส่ายหน้าไปมา “ความจริงฮูหยินอี้ซิ่วก็มอบเสื้อผ้าให้ข้ามาสองสามชุดแล้ว”
“ผู้ใหญ่ให้ก็รับไปเถอะ” เคอหลิ่งหลินหัวเราะเบาๆ อาการเจ็บหายไปมาก ปรายตามองไปที่โต๊ะ เห็นห่อผ้าวางอยู่ก็อดถามไม่ได้
“นั่นอะไรรึ”
“อ้อ! หลายวันก่อน ฮูหยินอี้ซิ่วเมตตาให้ข้ายืมหนังสือที่หอตำราได้ ข้าเอามาคืน ไม่ทราบว่าคุณชายจ้าวอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
“อยู่สิ เมื่อครู่เขาก็เข้ามาดูอาการข้า” นางไม่รู้ว่าจ้าวจิ่นสือเพิ่งกลับจากสอดแนม “แล้วทำไมเจ้าต้องถามหาเขาด้วยล่ะ”
“เอ่อ...” นางอึกอักหาคำพูดของตัวเองอยู่ “ตอนที่ข้าหยิบหนังสือออกมา คุณชายบอกว่าตอนมาคืนเขาจะขอตรวจหนังสือว่าข้าทำชำรุดหรือไม่”
“เอ๋?” เคอหลิ่งหลินทำหน้าประหลาดใจ ถ้าฮูหยินอี้ซิ่วอนุญาตให้ยืมหนังสือก็แสดงว่าไว้ใจคนผู้นั้น จู่ๆ เขาจะมาห่วงหนังสือทำไมกัน
“พี่สาว” นางกลัวว่าเคอหลิ่งหลินจะคิดไปไกล “ข้ากับบิดาจะออกเดินทางกันแล้ว ที่อยู่ทุกวันนี้ก็รอให้ท่านตื่นฟื้นเท่านั้น ปกติเราไม่เคยอยู่ที่ใดนานขนาดนี้มาก่อน ซึ่งท่านก็คงทราบดีอยู่แล้ว เมื่อข้าจะต้องเดินทาง ข้าจึงอยากคืนสิ่งของที่ยืมมาเพื่อจะได้เดินทางอย่างสบายใจ”
“เดินทาง? เจ้ากับท่านหมอจะไปที่ใดกัน” นางทำหน้าเศร้า “แล้วใครจะสอนข้าเป่าขลุ่ยล่ะอาจารย์น้อย”
มู่ฟางเหนียงได้ยินก็หัวเราะออกมา “ท่านเล่นเพลงนั้นได้ไพเราะแล้ว ข้าไม่ต้องสอนอะไรท่านอีกแล้วละ”
เคอหลิ่งหลินรู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งทั้งสองพ่อลูกก็ต้องออกเดินทาง นี่อุตส่าห์อยู่รอจนนางฟื้นก็คงกินเวลาของพวกเขามากแล้ว
“รอชุนเอ๋อร์กลับมาก่อน ค่อยให้นางพาเจ้าไปก็แล้วกัน”
“ยาต้องเคี่ยวนาน ข้าไปเองก็ได้”
“เจ้าไปถูกรึ” นางจะไปส่งก็ไม่มีแรงลุกเดินไหว
“ข้าจำได้ว่าเดินไปไม่ไกลจากห้องของท่านนัก”
“ใช่...ออกจากห้องของข้าไป เดินตรงตามทางไปเรื่อยๆ ถึงทางแยกแล้วเลี้ยวซ้ายเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงแล้ว”
“เดี๋ยวข้ามานะ”
มู่ฟางเหนียงยิ้มกว้าง เดินไปหยิบห่อผ้าที่มีหนังสือทั้งสามเล่มแล้วรีบเดินออกไป คิดเพียงว่าจะได้รีบไปรีบกลับ กลับมาก็คงพอดี เคอหลิ่งหลินมองแผ่นหลังของมู่ฟางเหนียงเดินพ้นประตูไปแล้ว นางก็นึกได้ว่าทางที่บอกไปนั้น มันห้องนอนของจ้าวจิ่นสือ!.
จ้าวจิ่นสือยืนรออย่างกระสับกระส่ายในห้องอักษรไม่นานนัก บิดาก็ก้าวเข้ามาพร้อมโบกมือไล่คนรับใช้ให้ถอยห่างออกไป
“แม่เจ้าก็มัวตื่นเต้นดีใจที่เห็นหลิ่งหลินฟื้น ไม่ได้เอะใจที่ลูกชายเพิ่งกลับเข้าบ้าน” บิดาพูดน้ำเสียงราบเรียบทว่าเจือความห่วงใย
“ลูกเข้าใจดี” เขายิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ข่มความกังวลที่ยังแน่นอก แม้จะรู้ว่านางฟื้นแล้วแต่เมื่อครู่ที่ได้อุ้มนางนั้นทำให้หัวใจเขากระตุกวูบไหว นางไม่เคยทำให้เขารู้สึกอ่อนแอและบอบบางเช่นนี้มาก่อน
แม่ทัพจ้าวจิ่นสือมองเห็นความกังวลในแววตาของบุตรชายเป็นอย่างดี ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าไปมาและตัดสินใจมอบภารกิจใหม่ให้ทันที แม้จะรู้ว่าลูกชายเพิ่งย่างเท้าเข้าประตูบ้านได้ไม่ถึงครึ่งวัน
“หลิ่งหลินฟื้นแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลนักหรอก”
“ข้าแค่เป็นห่วงนาง”
“นางเป็นพี่สาวของเจ้า” ผู้เป็นบิดาพยายามเตือนสติ
“แต่นางก็ไม่ใช่สายเลือดเดียวกับข้า!”
บุรุษผู้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่สูดลมหายใจลึก เห็นท่าทางอวดเก่งเอาแต่ใจของลูกชายแล้ว ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจหนักหน่วง อายุยี่สิบปีแล้ว ได้เป็นถึงรองแม่ทัพ ทว่ากลับมีนิสัยใจร้อนและมุทะลุเกินไป ไม่สะกดกลั้นเก็บอารมณ์ของตนเองเลยสักนิด
“จิ่นสือ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น “พ่อจะพูดกับเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นลูกชายของพ่อ”
ชายหนุ่มรู้สึกแน่นหน้าอก แต่ก็ยืดอกเงยหน้าฟังสิ่งที่บิดาจะพูด
“สิ่งที่เจ้ารู้สึก มันเกิดจากความใกล้ชิด มันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าคิดหรอก” แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ หวังใจให้ตอกย้ำเข้าไปในหัวใจของบุตรชาย
