บทที่ 4 เข้าห้องหอ
บทที่ 4
เข้าห้องหอ
ดับตะเกียง
แล้วในที่สุดเกี้ยวเจ้าสาวก็มาหยุดอยู่หน้าประตูเรือนสกุลเหลียง ประตูที่ทำจากไม้ขัดมันวาวสีดำตระหง่าน ป้ายตระกูลเขียนด้วยตัวอักษรสีทอง อีกทั้งด้านข้างประตูยังมีรูปสลักม้าจากไม้เนื้อแข็งตั้งเอาไว้
เจ้าสาวแอบสอดสายตามองออกมาเห็นความใหญ่โตของประตูเรือนและป้ายชื่อตระกูลให้ความรู้สึกหนักอึ้ง ดั่งความยิ่งใหญ่นี้กำลังกดทับลงมาบนไหล่ทั้งสองข้างของนางเสียกระนั้น
เมื่อเห็นเจ้าบ่าวก้าวเข้ามานางจึงรีบหยัดกายนั่งตัวตรง จัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้เรียบร้อย รอจนเจ้าบ่าวเปิดม่านประตูเกี้ยวออก จึงยื่นมือให้เขาช่วยประคองลงจากเกี้ยวเจ้าสาว
“น้องหญิงโปรดระวัง”
เหลียงอี้ฟานเอ่ยเตือนเมื่อนางก้าวเท้าลงบนบันไดไม้ที่บ่าวรับใช้นำมาวางไว้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ...ท่านพี่”
จางถิงถิงรู้สึกกระดากอายไม่น้อยที่ต้องเรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนมว่า ‘ท่านพี่’ ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาไม่เคยพูดคุยทำความสนิทสนม แต่ในเมื่อเขาเรียกนางอย่างอ่อนโยนว่า ‘น้องหญิง’ นางจึงต้องทำตัวเป็นสายน้ำที่ไหลไปตามกระแสอย่างว่าง่าย
เจ้าบ่าวจูงเจ้าสาวก้าวเข้าไปในเรือนสกุลเหลียงดั่งประคับประคองแก้วเจียระไนเลอค่า พิธีแต่งงานดำเนินไปอย่างราบเรียบไม่หวือหวา กระนั้นกลับมีแขกเหรื่อไม่น้อยมาร่วมแสดงความยินดีในวันนี้ นั่นเพราะตระกูลเหลียงเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลในเมืองเทียนไท่ไม่แพ้ตระกูลขุนนางเลยทีเดียว
ตึก! ตึก! ตึก!
จางถิงถิงนั่งอยู่บนเตียงวิวาห์ที่ปูด้วยผ้าสีแดงชาด โรยด้วยกลีบดอกกุ้ยเหมยส่งกลิ่นหอมอบอวล มือเล็กบีบเข้าหากันแน่นเมื่อประตูเรือนหอถูกเปิดออก ตามด้วยเสียงฝีเท้าของเจ้าบ่าวที่ดูท่าแล้วคงจะถูกเหล่าสหายมอมสุราจนเดินไม่ค่อยตรงนัก
“ข้ามาแล้ว...เจ้าสาวของข้า”
เหลียงอี้ฟานไม่รอช้าเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกทันที ดวงตาของเขาวูบไหวเมื่อเห็นใบหน้างดงามของนาง หากไม่บอกที่มาที่ไปคงเดาได้ยากว่านางมีพื้นเพเป็นหญิงสาวจากชนบทห่างไกลความเจริญ
ปลายนิ้วเรียวไล้ไปตามกรอบหน้าหวาน ดวงตาคมจ้องมองเข้าไปในดวงตากลมโตวิบวาวดั่งรวบรวมหมู่ดาวดารดาษพราวแสง
“ดวงตาของน้องหญิงงดงามนัก”
“ขะ...ขอบคุณเจ้าค่ะ”
เจ้าสาวรู้สึกเขินอายจนต้องหลุบเปลือกตาลงต่ำ
เมื่อเจ้าสาวก้มหน้าลงจึงไม่เห็นว่าดวงตาหวานล้ำของเจ้าบ่าวแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาที่เจือไปด้วยความลำบากใจ เขาหันไปรินสุรามงคลส่งให้เจ้าสาว
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
จางถิงถิงรับสุรามงคลมาดื่มอย่างว่าง่าย ก่อนจะมองเจ้าบ่าวที่สาดสุราลงคอดั่งน้ำเปล่า สังเกตเห็นว่าเจ้าบ่าวใบหน้าแดงก่ำ ดวงตามีแววโศกเศร้าจนไม่อาจปิดบัง
“ท่านพี่คงเหนื่อยมากแล้ว ให้ข้าช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะได้นอนสบายตัวนะเจ้าคะ”
จางถิงถิงขันอาสาทำหน้าที่ภรรยาทันที เมื่อเห็นชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่งนางจึงทรุดกายลงไปคุกเข่ากับพื้น แล้วค่อยๆ ถอดรองเท้าให้เขาอย่างเบามือ จากนั้นจึงถอดเสื้อคลุมเจ้าบ่าวตัวนอกออก นำไปวางพาดลงราวแขวนไม่ไกลนัก
“...”
ดั่งมีก้อนแข็งๆ แล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอ เหลียงอี้ฟานเบือนหน้าหนี รู้สึกราวกับว่ายิ่งเจ้าสาวว่าง่ายและแสนดีมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเป็นคนเลวทรามมากขึ้นเท่านั้น
“น้องหญิง”
“อ๊ะ...”
จางถิงถิงตกใจไม่น้อยเมื่อถูกเจ้าบ่าวรั้งร่างเข้าไปกอดรัด หัวใจเต้นระรัวแรงแม้เตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วแต่ก็ยังกระดากอายอยู่ดี
เขาจับนางกดลงบนเตียงวิวาห์ก่อนจะขึ้นคร่อมทับด้วยน้ำหนักร่างกายทั้งหมด จางถิงถิงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ดั่งกลิ่นใบไผ่ผสานไปกับกลิ่นกระดาษและน้ำหมึกกรุ่นออกมาจากร่างกายของสามี
รู้สึกว่ากลิ่นกายของสามีเป็นกลิ่นที่แปลกนัก... นั่นเพราะนางเติบโตมากับกลิ่นกายที่เจือดินและต้นไม้ใบหญ้า บ้างก็เป็นกลิ่นกายที่เคล้าไปด้วยกลิ่นมูลสัตว์ต่างๆ หากเป็นกลิ่นกายของเพื่อนร่วมงานที่ภัตตาคาร ก็จะเป็นกลิ่นกับอาหารหากทำงานในครัว หรือกลิ่นน้ำขี้เถ้าหากทำงานซักล้าง
ความคิดที่เตลิดไปไกลสะดุดกึกเมื่อใบหน้างดงามของเจ้าบ่าวโน้มต่ำลงมา หัวใจเจ้ากรรมเต้นแรงแทบกระโจนออกมานอกอกเสียให้ได้
หญิงสาวค่อยๆ พริ้มตาลงหลับ เพราะจำคำสอนของแม่สื่อได้ นางคิดว่าเขาคงกำลังจะจูบนาง ทว่าจมูกโด่งกลับกดไซ้ไปตามต้นคองามระหง ก่อนที่เหลียงอี้ฟานจะจับมือเรียวเล็กของเจ้าสาวขึ้นเหนือศีรษะ กระชากผ้ารวบมุ้งสีแดงผืนยาวออกมาแล้วมัดข้อมือเล็กเอาไว้ห้อยโยงอยู่เหนือศีรษะ
“ทะ...ท่านพี่”
เจ้าสาวงุนงงยังไม่ทันได้ถามอะไรมากไปกว่านี้ เจ้าบ่าวก็ดึงผ้ารวบมุ้งอีกฝั่งแล้วทาบทับปิดตาเจ้าสาวเอาไว้
“ข้าชอบแบบนี้ คืนนี้อย่าเอาออกนะ...”
เหลียงอี้ฟานกระซิบแผ่วที่ข้างใบหูของหญิงสาว จางถิงถิงได้ยินดังนั้นก็ใบหน้าแดงก่ำ นางผู้เป็นภรรยาย่อมต้องเคารพในรสนิยมของสามีจึงไม่ได้เอ่ยถามอันใดออกไปอีก
เจ้าบ่าวลุกออกจากเรือนกายนุ่มนิ่มของภรรยาสาว เขาดับตะเกียงลงราวกับเป็นการส่งสัญญาณ ทันใดนั้นเองบุรุษคนหนึ่งก็ปีนเข้ามาจากทางหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ
บุรุษต่างวัยมองสบตากันเพียงน้อย ผู้อ่อนวัยกว่าในชุดเจ้าบ่าวสีแดงมงคลจึงก้มศีรษะลงต่ำเพื่อเป็นการขอบคุณอีกฝ่ายอย่างสุดหัวใจ ก่อนจะเร่งรีบปีนออกจากหน้าต่าง ทิ้งให้บุรุษที่เพิ่งมาใหม่อยู่กับเจ้าสาวเพียงลำพัง
เถ้าแก่เหลียงซื่อเฉินยืนอยู่กลางห้องวิวาห์ด้วยหัวใจหนักอึ้ง แววตาคมคร้ามหม่นแสง ขบกัดฟันจนสันกรามปูดโปนขึ้นขับให้ใบหน้ายิ่งดุดันรับกับผิวสีแทน เขาถอดเสื้อผ้าของตนเองออกจนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นเรือนกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างบุรุษใช้แรงงานหาใช่บุรุษในหอตำรา
