บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 อารมณ์ขึ้นง่าย

ตอนที่ 2 อารมณ์ขึ้นง่าย

“เราสองคนยินดีที่จะไปทันทีเลยค่ะและจะไม่ทำให้ท่านประธานผิดหวังเป็นอันขาด” นรีกานต์คลี่ยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้ยินรายชื่อของรางวัล

“ว่าแต่ท่านประธานจะส่งพวกเราไปประเทศไหนล่ะคะ” รติรสเลิกคิ้วสูงขึ้นอย่างสงสัย

“นึกว่าจะไม่ถามเสียแล้ว” นักธุรกิจหนุ่มคลี่ยิ้มก่อนจะพูดต่อ “ผมจะส่งพวกคุณไปประเทศสหพันธรัฐดาบิย่า”

“ชื่อไม่คุ้นหูเลยค่ะ” นรีกานต์ขมวดคิ้วมุ่น

“เป็นประเทศเปิดที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อยู่ทางแทบตะวันออกกลางและสมบูรณ์ไปด้วยน้ำมันดิบ ผมมีเพื่อนอยู่ที่นั่น เราเลยรวมหุ้นกันเปิดสาขาใหม่ แล้วนี้ก็เป็นเอกสารเกี่ยวกับประเทศดาบิย่าและผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ที่จะใช้เปิดตัวบริษัทของเราที่โน้น” ชายหนุ่มอธิบายเพิ่มเติม ก่อนจะเลื่อนแฟ้มหนามาตรงหนาของลูกน้องสาวทั้งสอง

“แล้วท่านประธานจะให้พวกเราไปวันไหนคะ?” รติรสมองหน้าเจ้านายหนุ่มด้วยสีหน้า และแววตาที่สลดลงเล็กน้อย

“อีก 1 อาทิตย์” โทมัสหันมาบอกอย่างช้าๆ พร้อมกับมองสบนัยน์ตาหญิงสาวนิ่ง และนั่นก็ทำให้นรีกานต์ต้องหาทางแยกตัวเองออกไปจากห้องให้เร็วที่สุด

“เอ่อ...ถ้าท่านประธานไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวกลับไปทำงานต่อนะคะ” นรีกานต์เหลือบตาขึ้นมองเจ้านายหนุ่ม ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสาว และเมื่อเจ้านายหนุ่มลูกครึ่งพยักหน้าอนุญาต หญิงสาวจึงหยิบแฟ้มขึ้นมาแนบอกแล้วรีบลุกเดินออกไปจากห้องทำงานทันที เธอรู้ดีว่าตอนนี้เพื่อนสาวกับเจ้านายหนุ่มของเธอต้องการมีเวลาส่วนตัวเพราะทั้งคู่เป็นคู่รักกัน แม้ว่าจะต่างฐานะกันก็ตามแต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคความรักของคนทั้งคู่ เธอกับรติรสเข้ามาทำงานที่นี่พร้อมกันในตำแหน่งพนักงานขาย และมีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายๆ กัน ทั้งเรื่องเป็นกำพร้า เป็นเด็กต่างจังหวัด แล้วยังมีความชอบในเรื่องบางอย่างที่เหมือนกัน เรียกได้ว่าเธอกับรติรสเป็นเพื่อนซี้ที่รู้ใจกันที่สุดก็ว่าได้ แต่รติรสโชคดีกว่าเธอตรงที่ว่าได้เป็นคนรักของนักธุรกิจหนุ่มที่รุ่งเรือง ต่อไปก็จะได้เป็นคุณนายนั่งอยู่ในบ้านหลังใหญ่โต ส่วนเธอก็คงเป็นได้แค่พนักงานขายธรรมดาๆ คนหนึ่ง

“เฮ้อ...” นรีกานต์ถอนหายใจอย่างแรงขณะเดินผ่านห้องน้ำหญิง แต่แล้วร่างบางก็ต้องหยุดชะงักเมื่อสองหูแว่วได้ยินเสียงคำนินทา โดยมีชื่อเธอกับเพื่อนรักเข้าไปปนอยู่ด้วย หญิงสาวจึงขยับเข้าไปยืนอยู่หลังประตูห้องน้ำด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง

“ฉันนึกอยู่แล้วว่ายัยนางกับยัยรสต้องได้ไป แล้วก็เป็นอย่างที่ฉันคาดเอาไว้จริงๆ” พนักงานสาวนางหนึ่งเบะปากออกอย่างหมิ่นๆ ก่อนจะหยิบตลับแป้งพับขึ้นมาตบเบาๆบนใบหน้า

“มันก็แน่อยู่แล้ว อีกคนก็เป็นคนรัก ส่วนอีกคนก็เพื่อนของคนรัก มีเหรอที่เธอจะเดาพลาด

เป็นฉันๆ ก็เดาถูกย่ะ” พนักงานสาวคนที่สองหันมากระแทกเสียงใส่เพื่อนข้างๆ ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกแล้วพูดต่อ

“อย่างพวกเราน่ะมันแค่เส้นหมี่ จะไปสู้เส้นก๋วยจั๊บอย่างพวกนั้นได้ยังไงจริงไหม” พูดจบเธอก็หันมาพยักพเยิดกับเพื่อนๆอีก 3 คนที่ยืนอยู่อีกฝั่ง ซึ่งทั้งหมดก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่แล้วเสียงสนทนาของเหล่าหญิงสาวขาเม้าก็มีอันต้องสะดุดเมื่อมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

“แล้วพวกเธออยากเละเหมือนก๋วยจั๊บบ้างไหมล่ะ” นรีกานต์ก้าวเข้ามายืนกอดอกมองหญิงสาวทั้ง 5 คนด้วยแววตาดุดัน พร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง

“ฉันขอบอกพวกเธอเอาไว้เลยนะว่า ที่ฉันกับรสได้รับคัดเลือกก็เป็นเพราะฝีมือและผลงาน ไม่ได้ใช้เส้นสายอย่างที่พวกเธอเข้าใจ ฉันว่าพวกเธอควรจะเอาเวลาว่างไปนั่งคิดพัฒนาฝีมือของตัวเองจะดีกว่านะ ดีกว่าที่จะมานั่งแกว่งปากหาเสี้ยน นินทาคนโน่นทีคนนี้ที เพราะมันอาจจะเจอเสี้ยนตอใหญ่เอาก็ได้” หญิงสาวเหยียดมุมออกปากอย่างดูหมิ่น

“นี่แกด่าพวกฉันเหรอนังนาง!” พนักงานสาวคนแรกแหวใส่อย่างโมโห

“อุ๊ย...แสดงว่าฟังภาษาคนรู้เรื่อง ไม่โง่นี่” นรีกานต์ยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับหัวเราะ ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายโกรธจนตัวสั่นปรี่เข้าหาหญิงสาวอีกฝ่ายทันทีพร้อมกับเงื้อมือขึ้นสูง

“อ่ะ อ่ะ เมื่อคราวที่แล้วที่ลาป่วยไปเกือบอาทิตย์ยังไม่เข็ดใช่ไหม จะเอาอีกใช่ไหม...ได้เลย เข้ามาเลย” หญิงสาวถกแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้น และเท้าเอวรอท่าอยู่ ส่วนอีกฝ่ายก็ยืนทำท่าละลาละลังพร้อมกับนึกถึงสภาพตัวเองเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนที่มีเรื่องกับนรีกานต์ ซึ่งตอนนั้นตัวเธอเองโดนจับทุ่มจนหลังแทบหัก แถมยังฟกช้ำดำเขียวเป็นปื้นๆ อีกด้วย เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แล้วเธอก็ไม่อยากเสี่ยงเป็นหนที่สองเหมือนกัน

“ฝากเอาไว้เถอะแก!” พนักงานสาวสะบัดแขนลงอย่างแรง พร้อมกับเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างโกรธแค้น ก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องน้ำพร้อมกับพรรคพวกทั้งหมด ซึ่งทุกคนก็รู้ถึงกิตติศัพท์ความร้ายกาจของนรีกานต์ดีเพราะโดนกันมาหมดแล้วทุกคน

“อย่าลืมมาถอนออกไปด้วยล่ะ ฉันไม่อยากรับฝากนาน” นรีกานต์ตะโกนตามหลังไปก่อนจะหัวเราะในลำคออย่างนึกขำก่อนจะส่ายหน้าอย่างเบื่อระอาเพราะไม่ว่าที่ไหนก็มีคนประเภทนี้อยู่เต็มไปหมด ประเภทที่เห็นคนอื่นดีกว่าตนเองไม่ได้และอีกประเภทที่เธอเกลียดที่สุดก็คือพวกชอบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น

ปึก!

กระเป๋าเอกสารสีดำถูกวางกระแทกลงบนโต๊ะทำงานอย่างแรง ทำให้รติรสที่กำลังนั่งศึกษารายละเอียดของสินค้าตัวใหม่ถึงกับสะดุ้งโหย่ง หันมาทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นสีหน้าที่บึ้งตึงและเคร่งเครียดของเพื่อนสาว

“โมโหอะไรมา แล้วดูทำหน้าเข้าสิยังกับคนถ่ายไม่ออก ไปพบลูกค้ามาไม่ใช่เหรอไง”

“ก็เพราะไอ้ลูกค้านี่แหละที่ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ แก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้วยังไม่เลิกบ้ากามอีก ตอนแรกเห็นท่าทางสุขุมดูเป็นผู้ใหญ่ ไอ้เราก็หลงชื่นชมแต่ที่ไหนได้ดันออกลายตอนจบเสียนี่ พูดแล้วเจ็บใจชะมัด” นรีกานต์เล่าอย่างเจ็บใจพร้อมกับกระแทกก้นลงนั่งอย่างโมโห วันนี้เธอมีนัดกับลูกค้าอายุราวๆ 50 กว่าซึ่งเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเขตมีนบุรี แต่พอคุยไปคุยมาตาเฒ่าหัวงูนั่นก็จะงาบเธอแทนสินค้าเสียนี่

“แล้วเขาเป็นไงบ้าง ปลอดภัยดีหรือเปล่า? ร่างกายยังอยู่ครบ 32 ดีหรือเปล่า?” รติรสถามขึ้นอย่างตื่นเต้น แทนที่จะเป็นตื่นตกใจ แต่นั่นก็เพราะเธอรู้นิสัยของเพื่อนสาวดี เธอเองก็เคยโดนแทะโลมอยู่บ่อยๆจากลูกค้าบ้ากามพวกนี้ แต่นั่นมันก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะอาชีพที่ทำอยู่มันต้องพัวพันอยู่กับพวกผู้ชาย จนทำให้หลายๆ คนคิดว่าพวกเธอจัดเจนด้านผู้ชาย และมีอาชีพเสริมคือการขายเนื้อสดทั้งๆ ที่พวกเธอไม่เคยผ่านประสบการณ์ทางผู้ชายเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“เธอถามแบบนี้หมายความว่ายังไงย่ะยัยรส เธอต้องถามว่าฉันเป็นยังไงบ้างถึงจะถูก” นรีกานต์หันมามองเพื่อนตาขวาง

“ก็เพราะว่าฉันรู้จักเธอดีไง ฉันถึงได้ถามแบบนั้น ว่าแต่ว่ารายนี้เป็นยังไงบ้าง โดนพิษส่วนไหนของเธอเข้าไปล่ะ?” รติรสหัวเราะในลำคออย่างขำๆ เพราะเพื่อนสาวของเธอเหมือนกับดอกกุหลาบงามที่มีหนามรอบตัว ใครเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาต มีอันต้องเลือดตกอย่างออกทุกรายไป

“ก็แค่โดนผ่าหมากจนหน้าเขียวเท่านั้นเอง” นรีกานต์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ แต่เพื่อนสาวถึงกับทำหน้าหวาดเสียว พร้อมกับซูดปากเมื่อนึกวาดภาพตามที่อีกฝ่ายบอก

“นั่นนะยิ่งกว่าโดนเชือดอีกนะ”

“มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ เลยนะรส ทำไมพวกผู้ชายต้องเข้าใจว่าเราเป็นผู้หญิงพวกนั้นด้วย หรือว่าในสมองบรรจุแต่เรื่องอย่างว่าเอาไว้ พอเห็นผู้หญิงก็เลยตกมันทันที” นรีกานต์ถอนใจอย่างระเบื่อระอา

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาไว้ฉันจะถามคุณโทมัสให้ก็แล้วกันนะ” รติรสบอกยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปหยิบแฟ้มที่โต๊ะทำงานของตนเองมาวางลงบนโต๊ะทำงานของเพื่อนสาว พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้างส่งให้อย่างมีความหมาย “นั่งศึกษารายละเอียดประเทศดาบิย่าไปนะ ศึกษาเผื่อฉันด้วยล่ะ ฉันจะออกไปพบลูกค้าแล้วก็จะเลยไปทานข้าวกับคุณโทมัส”

“แหม..น่าอิจฉาคนมีความรักจริงๆเลย เราไม่มีบ้างก็แล้วไป” นรีกานต์ย่นจมูกให้อีกฝ่าย ก่อนจะสะบัดหน้าแกล้งทำงอน

“ก็รีบหาเข้าสิ...ไปล่ะ” รติรสบีบจมูกเพื่อนรักเบาๆ ก่อนจะเดินหัวเราะออกไปจากห้องทำงานอย่างอารมณ์ดี โดยมีสายตายินดีของนรีกานต์มองตามหลังไป เธอเองก็อยากจะมีรักแท้กับใครสักคนบ้างเหมือนกัน แต่เท่าที่เห็นและพบเจออยู่ทุกวันก็มีแต่พวกเสือ สิงห์ กระทิง ควาย ทั้งนั้น ถ้าเป็นแบบนั้นเธอก็ขออยู่คนเดียวแบบนี้ดีกว่าสบายใจกว่ากันเยอะเลย หญิงสาวถอนใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับยักไหล่อย่างปลงๆ ก่อนจะหันมาสนใจแฟ้มบนโต๊ะของตนเอง

วรกายสูงของเจ้าชายเซคิโอก้าวฉับๆ เข้าไปในห้องบรรทมของผู้เป็นพระเชษฐาองค์โตด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเพราะทรงได้รับทราบข่าวว่าพระเชษฐาของพระองค์ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับพวกกบฏอะดีบา “ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง” ทรงทอดพระเนตรบุรุษที่นอนให้แพทย์ทำแผลอยู่บนเตียงด้วยความห่วงใย

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่โดนถากๆ ไปเท่านั้นเอง ฝีมือของพวกมันยังไม่แม่นถึงขั้นที่จะปลิดชีพพี่ได้หรอก” ชารีฟหันมายิ้มให้น้องชาย ก่อนจะประทับนั่งอิงกับหัวเตียงหลังจากแพทย์ทำแผลที่ต้นแขนข้างขวาเสร็จเรียบร้อย

“เห็นซาบาชบอกว่าพวกมันถอยล่นไปที่ชายแดนแล้ว” เซคิโดซักถามต่อหลังจากแพทย์และพยาบาลเดินออกไปจากห้องบรรทมแล้ว

“ใช่ แต่พี่จะต้องตามกวาดล้างพวกมันให้สิ้นซาก เพราะพวกมันไม่ใช่แค่คิดกบฏอย่างเดียว แต่พวกมันยังค้ามนุษย์ด้วยกันเองอีกด้วย ซึ่งพี่จะไม่ยอมให้อภัยพวกมันอย่างแน่นอน” น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความเจ็บแค้นในหัวใจได้เป็นอย่างดี

“ข้าว่าเอาไว้....”

“เจ้าชายเพคะ!!!”

เจ้าชายเซคิโอยังรับสั่งไม่ทันจบประโยค เสียงแหลมเล็กแสบแก้วหูก็ดังประสานกันขึ้นที่หน้าประตูห้องบรรทม พร้อมกับร่างบางของสาวงามทั้ง 2 นาง ในชุดคลุมยาวรัดรูป บางเบา ก็แข่งกันวิ่งเข้ามาหาร่างสูงที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงกว้าง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel