บำเรอเสน่หา

102.0K · จบแล้ว
กานจ์แก้ว
40
บท
27.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแรง แล้วเริ่มลงมือปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง “ทำไมสวรรค์ต้องเล่นตลกกับชีวิตของฉันแบบนี่ด้วยนะ เมื่อวานยังทำงานสบายๆอยู่เลย วันนี้ต้องมาเป็นขี้ข้าเขาสะงั้น เฮ้อ...ชีวิตที่แสนจะรันทด เป็นเพราะความบ้าอำนาจของเจ้าชายคนเดียวเลย” สาวไทยอดที่จะบ่นอย่างโมโหไม่ได้ และยิ่งโมโหมากเท่าไร ไม้ปัดขนไก่ในมือเรียวก็ฟาดลงไปบนเบาะของโซฟาแรงขึ้นเท่านั้น เหมือนกับจะใช้มันเป็นที่ระบายอารมณ์ของตัวเอง และหลังจากทำส่วนหน้าเสร็จเรียบร้อย นรีกานต์ก็ลากเครื่องมือเข้าไปที่ส่วนใน แล้วก็เริ่มลงมือทำงานต่อ โดยไม่ทันได้สังเกตสิ่งผิดปรกติบนเตียงกว้างเลยสักนิด แต่นั่นก็เพราะเธอแน่ใจว่าเจ้าชายไม่อยู่แล้ว จนกระทั่งร่างบางเดินถอยหลังไปสะดุดเข้ากับชายพรมสีน้ำเงิน แล้วเซถอยหลังไปทรุดนั่งอยู่บนเตียงกว้าง มือเรียวสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ทั้งนุ่มและอุ่น คิ้วสวยได้รูปขมวดเข้าหากัน ก่อนจะเลื่อนมือคลำไปเรื่อยๆ แล้วก็หยุดเมื่อแน่ใจว่ามันคือสิ่งใด ‘หน้าอกคน’ ใบหน้าสวยเปลี่ยนเป็นเหยเกทันทีเหมือนกับกินยาขมๆ ก่อนจะรีบชักมือกลับแล้วดีดตัวลุกขึ้น แต่ก็ถูกมือใหญ่รั้งให้เซล้มลงไปบนเตียงอีกครั้ง “จะรีบไปไหนล่ะ ไม่คลำต่อแล้วเหรอ” เสียงที่ดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้นรีกานต์หันไปมองทางต้นเสียงทันที แล้วดวงตากลมโตก็ยิ่งโตขึ้นเมื่อใบหน้าของเธอ อยู่ห่างจากพระพักตร์หล่อเหลาเพียงคืบเดียวเท่านั้น หญิงสาวนิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเรียกสติของตัวเองกลับคืนมาได้ “เจ้าชาย!...เอ่อ... ก็ไหนซานีบอกว่าพระองค์ตื่นบรรทมตั้งแต่เช้า แล้วทำไมถึงทรงยังอยู่” นรีกานต์ถามเสียงสั่น พร้อมกับพยายามลุกขึ้น แต่พระหัตถ์แกร่งก็กดทับเอวคอดกิ่วเอาไว้ไม่ให้ลุก สาวไทยลอบกลืนน้ำลายอย่างตื่นเต้น ในหัวอกด้านซ้ายเต้นโครมครามจนแทบจะทะลุออกมานอกอก “เมื่อคืนผมทำงานดึกไปหน่อย วันนี้เลยคิดว่าจะหยุดอยู่เฉยๆ สักวัน แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีของหวานมาเสิร์ฟให้ถึงเตียง” พระเนตรคมจ้องลึกเข้าไปที่ดวงตาคู่สวยพร้อมกับแย้มพระโอษฐ์ขึ้นน้อยๆ กลิ่นหอมจากกายบุรุษเพศทำให้ลมหายใจของนรีกานต์สะดุดเป็นช่วงๆ หญิงสาวรีบถอนสายตาหลบไปมองทางอื่นเพื่อข่มความตื่นเต้นและตื่นกลัว ก่อนจะปัดพระหัตถ์หนาหนักออกไปจากเอว แล้วรีบลุกขึ้นก้าวลงจากเตียง มายืนหอบหายใจถี่ๆ อยู่กลางห้อง “หม่อมฉันไม่ใช่ขนมหวานของใคร! ถ้าหม่อมฉันรู้ว่าพระองค์ยังบรรทมอยู่ก็คงจะไม่เข้ามา เชิญบรรทมต่อเถอะเพคะ หม่อมฉันทูลลา!” นรีกานต์ใช้น้ำเสียงแข็งๆ กลบเกลื่อนเสียงสั่นๆ ของตนเอง ก่อนจะหมุนตัวก้าวออกไป แต่ร่างบางก็เดินไปได้แค่ 2 ก้าวก็ต้องหยุดชะงัก เพราะรับสั่งที่ดังตามหลังมา “มาทำผมตื่นแล้วคิดจะออกไปง่ายๆ งั้นเหรอ คุณยังทำงานของคุณไม่เสร็จเลยนะ” แววเนตรสีน้ำตาลวาวโรจน์ขึ้น จากนั้นวรกายสูงก็ก้าวลงจากเตียง แล้วหันไปหยิบเสื้อคลุมตัวยาวที่ปลายเตียงมาสวม ก่อนจะเสด็จมายืนซ่อนทางด้านหลังของสาวไทย “ไหนๆ ผมก็ตื่นแล้ว คุณช่วยไปผสมน้ำอาบให้ที ผมขี้เกียจนอนแล้ว” ทรงก้มพระพักตร์ลงมารับสั่งเหมือนกับแกล้งยั่ว นรีกานต์หลับตาปี๋พร้อมกับกลั้นลมหายใจของตัวเอง เมื่อลมหายใจอุ่นๆ เปารดที่ต้นคอ จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ สาวไทยลืมตาขึ้นอีกครั้ง และพบว่าชีคหนุ่มนั้นเดินหัวเราะร่าเริงไปทรุดนั่งที่โซฟาด้านนอก แล้วส่งแววตาเยาะๆ มาทางเธอ ริมฝีปากบางจึงเม้มเข้าหากันด้วยความอายระคนโมโห “นั่นไม่ได้อยู่ในรายชื่อหน้าที่ของหม่อมฉัน” สาวไทยเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ “แต่มันอยู่ในคำสั่งของผม หรือคุณคิดจะขัดคำสั่งของผม” เจ้าชายหนุ่มเลิกพระขนงขึ้นสูงพร้อมกับเท้าสะเอวอย่างไม่พอใจ นรีกานต์เม้มริมฝีปากเข้าหากัน เธอรู้ดีว่าสายตาของชีคหนุ่มนั่นหมายความว่าอย่างไร ถ้าเธอไม่ทำตามรับสั่ง ความเดือดร้อนก็จะไปเยือนรติรสทันที “ขู่ได้ขู่ไป” หญิงสาวทำปากขมุบขมิบเบาๆ ก่อนจะเดินกระแทกเท้าไปทางห้องน้ำอย่างโมโห ชารีฟมองตามร่างบางไป ก่อนจะหุบยิ้มลง เมื่อครู่ตอนอยู่บนเตียง เขาเองก็แทบยั้งตัวเองไม่อยู่เหมือนกัน ไม่อยากจะปล่อยร่างนุ่มนิ่มอวบอั้นนั้นออกจากวงแขนเลยด้วยซ้ำ เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ผู้หญิงคนนี้ถึงได้สร้างความปั่นป่วนในร่างกายของเขาได้มากขนาดนี้ จะว่าขาดเรื่องผู้หญิงก็ไม่น่าจะใช่ หรือว่าร่างกายของเขาผิดปรกติอะไร “ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่นา ร่างกายเราก็ปรกติดีทุกอย่าง” ทรงแย้งความคิดในพระทัย ก่อนจะเสด็จไปยืนทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง ครู่ต่อมานรีกานต์จึงเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วเดินมาหยุดรายงาน “เตรียมน้ำเสร็จแล้วเพคะ” “เร็วดีนี่ ขอบใจ ผมจะลงไปนอนแช่น้ำให้สบายใจสักครึ่งชั่วโมง ส่วนคุณก็ทำความสะอาดห้องนี้ให้เสร็จก่อนที่ผมจะออกมา” ชารีฟหันมากระตุกยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักพลิกชีวิตพระเอกเก่งเศรษฐีโรแมนติก

ตอนที่ 1 องค์รัชทายาท

ตอนที่ 1 องค์รัชทายาท

แสงแห่งรุ่งอรุณสีแดงอมส้มสาดส่องลงมาบนพื้นทรายสีทอง เพื่อให้ความอบอุ่นกับทุกสรรพสิ่งที่อาศัยอยู่บนพื้นทรายแห่งนี้

ทะเลทรายดาบิย่า เป็นทะเลทรายอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกกล่าวขานว่าอวบอวลไปด้วยมนต์ขลังแห่งตะวันออกกลาง เพราะเมื่อใดที่มีแสงแดดสาดส่องกระทบลงมา เม็ดทรายเล็กๆ สีเหลืองก็จะเป็นประกายระยิบระยับดุจอัญมณีบนพื้นทราย และที่สำคัญที่สุดก็คือที่นี่เป็นที่ตั้งของพระราชวังอัลวา บิน ซายาส ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์กษัตริย์มัสตาฟา อัลวา บิน ซายาสกับองค์ราชินีมาร์เดียน่าแห่ง สหพันธรัฐดาบิย่า

สหพันธรัฐดาบิย่า เป็นประเทศเปิดที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพราะประเทศนี้มีพื้นที่ทางทิศตะวันออกติดกับทะเลทราย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันดิบที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก ส่วนทางทิศตะวันตกจะติดกับทะเลเมริเดียน จึงมีนักลงทุนสนใจมาร่วมลงทุนธุรกิจที่นี่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีท่าเรือขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงและทันสมัยติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกอีกด้วย แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะพระปรีชาญาณขององค์กษัตริย์มัสตาฟาที่มองเห็นอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองของลูกหลานและเหล่าประชาชนของพระองค์ จึงได้คิดปูรากฐานของประเทศให้มีความมั่นคงและเจริญก้าวหน้า

ร่างสูงในชุดสูทสากลสีดำโพกผ้าสีขาวที่ศีรษะและคาดทับด้วยเชือกผ้าสีดำเดินมาหยุดยืนที่หน้าประตูสีทองซึ่งแกะด้วยลวดลายอาหรับอย่างวิจิตรบรรจง ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะและร้องเรียกผู้ที่อยู่ด้านในห้อง

ก๊อก! ก๊อก!

“ฝ่าบาทพะยะค่ะ ทรงตื่นบรรทมหรือยังพะยะค่ะ?”

แต่สิ่งที่ได้ตอบกลับมาก็คือความเงียบ คิ้วหนาของคนตัวสูงผิวคล้ำจึงขมวดเข้าหากัน ก่อนจะเอ่ยเรียกอีกครั้ง

“เจ้าชายพะยะค่ะ ตื่นบรร...” ครั้งนี้เขายังพูดไม่ทันจบประโยคประตูห้องก็ถูกเปิดออกเสียก่อน พร้อมกับวรกายสูงเกิน 180 เซนติเมตรของเจ้าของห้อง ยืนจังก้าสีพระพักตร์บึ้งตึง จ้องเขม็งมายังคนที่มารบกวนพระองค์อย่างไม่พอพระทัย

“มีอะไรแต่เช้าซาบาธ” คำถามนั้นดูจะหงุดหงิดและรำคาญใจเป็นอย่างมาก

“องค์มัสตาฟารับสั่งหาพะยะค่ะ” องครักษ์หนุ่มทูลรายงาน ก่อนจะมองเลยไปที่ร่างบางอรชรในชุดผ้าฝ้ายยาวสีขาวบางเบา ที่กำลังเดินนวดนาดตามหลังเจ้านายหนุ่มมา ก่อนจะสอดแขนเรียวโอบรอบเอวเจ้าชายหนุ่มเอาไว้แล้วไล้นิ้วไปที่หน้าอกเปลือยที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแน่นขนัดสมชายชาตรีนั่นโดยไม่อายต่อสายตาของคนอื่น

ซาบาชมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะมันชินตาของเขาเสียแล้ว ทุกเช้าเขาก็มักจะพบเห็นแบบนี้ประจำ แต่จะมีการเปลี่ยนหมุนเวียนหญิงสาวที่เข้ามารับใช้กันไปตามแต่ละวัน เจ้านายหนุ่มของเขานับว่าเป็นหนุ่มรูปงามที่สมบูรณ์แบบที่สุด ที่สาวๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างหมายตา ขอแค่เพียงได้เป็นคู่นอนแค่เพียงข้ามคืนพวกเธอก็ยินยอม

“ฝ่าบาทจะออกไปไหนอีกเหรอเพคะ ไหนว่าวันนี้ทั้งวันจะอยู่กับหม่อมฉันตลอดไงเพคะ” รอนีย์บอกด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน ก่อนจะเตะริมฝีปากลงบนแผ่นหลังเปลือยอย่างยั่วเย้า

“หยุดก่อนรอนีย์!” เจ้าชายหนุ่มจับมือเรียวเอาไว้ พร้อมกับหันมาส่งสายตาดุๆให้ ทำให้สนมสาวถึงกับหน้างอง้ำและมองไปที่ซาบาชอย่างไม่พอใจ ก่อนจะถอยห่างออกมาจากร่างสูงนิดหนึ่ง

“ท่านพ่อมีเรื่องอะไรกับข้า เจ้ารู้หรือเปล่า” ชารีฟหันกลับมาถามองครักษ์คู่ใจของตนอีกครั้ง

“น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่ฝ่าบาทโดนลอบทำร้ายที่ชายแดนเมื่อวันก่อนพะยะค่ะ” ซาบาชคาดการณ์ตามที่ตนเองคิด

“คงมีใครไปทูลให้ทราบ” เจ้าชายหนุ่มกระตุกยิ้มพลางนึกไปถึงพวกข้าราชการเก่าแก่ที่รู้อะไรนิดอะไรหน่อยก็เอาไปพูดกันจนเป็นเรื่องใหญ่โต

เมื่อวันก่อนเขาและซาบาชพร้อมกับองครักษ์คนอื่นอีก 4 คน ได้ออกไปตรวจตราและเยี่ยมเยียนราษฎรที่ชายแดนอย่างลับๆ แล้วในระหว่างทางขากลับก็มีชายสุดดำกลุ่มหนึ่งดักลอบทำร้ายเขา แต่ผลสุดท้ายพวกมันก็ต้องตายกันหมด โดยที่ฝ่ายเขานั่นได้รับบาดเจ็บแค่นิดหน่อยเท่านั้น

ภายในห้องโถงกว้างซึ่งเป็นที่ใช้สำหรับว่าราชการงานเมือง องค์กษัตริย์มัสตาฟาทรงประทับอยู่บนเก้าอี้นวมสีทองตรงหัวโต๊ะตัวยาว ที่ทำจากไม้เนื้อดีที่แกะสลักอย่างประณีต โดยมีเจ้าชายราเชลประทับอยู่บนเก้าอี้ตัวที่สองทางด้านซ้ายมือ และเจ้าชายเซคิโอประทับอยู่ทางด้านขวามือ พร้อมด้วยเหล่าข้าราชบริพารระดับสูง นั่งอยู่ทั้งสองฝั่งด้านข้างของโต๊ะ สีหน้าของทุกคนนั้นดูเคร่งเครียดและมีแวววิตกกังวล โดยเฉพาะองค์ประมุขที่มีพระพักตร์บึ้งตึงและแววเนตรที่ถมึงทึง ถึงแม้ว่าพระชันษาจะย่างเข้า 65 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ทิ้งซึ่งความสง่างาม น่าเกรงขาม แววตาสีน้ำตาลเข้มยังคงแสดงถึงพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่

“เจ้าชายชารีฟเสด็จแล้ว” เสียงมหาดเล็กที่อยู่หน้าประตูกล่าวขึ้น พร้อมๆ กับที่ร่างสูงของเจ้าชายชารีฟเสด็จเข้ามาในห้องประชุม แล้วเสด็จไปประทับลงบนเก้าอี้ตัวแรกทางด้านซ้ายมือของพระบิดา สายพระเนตรเคร่งขรึมกวาดมองเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลาย ก่อนจะหันมาทางพระบิดาอีกครั้ง

“ทำไมลูกไม่ทราบว่าวันนี้มีการประชุม”

“เป็นการประชุมเร่งด่วนน่ะท่านพี่ พวกเราก็เพิ่งทราบเมื่อครู่นี้เอง” เจ้าชายเซคิโอตอบแทนพระบิดาพร้อมกับคลี่ยิ้มให้พระเชษฐาของพระองค์

“ที่พ่อต้องนัดประชุมด่วนก็เพราะเรื่องของเจ้า เจ้าทำอะไรลงไปเคยคิดถึงผลเสียที่จะตามมาหรือไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไอ้พวกที่ดักลอบทำร้ายเจ้ามันทำได้สำเร็จ เจ้าอย่าลืมสิว่าเจ้าคือองค์รัชทายาทแห่งดาบิย่าผู้ที่จะครองแผ่นดินนี้ต่อจากพ่อ” พระสุรเสียงนั้นแสดงถึงความไม่พอพระทัย เช่นเดียวกับสายพระเนตรขึงขังที่ทอดมองมายังโอรสองค์โต

“ลูกทราบดีพะยะค่ะ แต่หน้าที่ขององค์รัชทายาทก็คือการดูแลทุกข์สุขของประชาชนด้วยไม่ใช่เหรอพะยะค่ะ จะให้ลูกเก็บตัวเงียบเพราะกลัวอันตรายที่จะมาถึงตัวนั้นลูกคงทำไม่ได้” เจ้าชายชารีฟจ้องตอบพระบิดาเขม็ง เขาไม่ใช่ผู้ชายขี้คลาดที่จะต้องทำแบบนั้น

“แต่การที่พระองค์เสด็จไปกับองครักษ์เพียงแค่ไม่กี่คนมันอันตรายมากนะพระเจ้าค่ะ” เสียงรัฐมนตรีกลาโหมเอ่ยขึ้น

“แต่ท่านก็ยังเห็นข้ามานั่งอยู่ตรงนี้ โดยที่ไม่มีอะไรบุบสลายไม่ใช่เหรอ” เจ้าชายหนุ่มหันมากระตุกยิ้มให้ข้าราชการชั้นสูงนิดหนึ่ง

“จะว่าไปเหล่าองครักษ์ของท่านพี่ชารีฟแต่ละคนก็เก่งกาจกันทั้งนั้น ข้าได้ข่าวมาว่าทางพวกมันมีกันเป็นสิบคน แต่ก็สู้พวกท่านพี่ไม่ได้” เจ้าชายเซคิโอยิ้มอย่างชื่นชม ซึ่งผู้เป็นพี่ชายคนโตก็ยิ้มตอบรับน้อยๆ ด้วยเพราะเขาอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาท จึงต้องมีคนที่มีฝีมือกล้าแข็งอยู่เคียงข้าง ดังนั้นเหล่าองครักษ์ของเขานั่นก็ต้องผ่านการคัดเลือกและการฝึกฝนอย่างหนักจากเขาทุกคน และถ้าเอ่ยถึงเหล่าทหารองครักษ์ของเจ้าชายชารีฟแล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าไม่มีใครที่คิดอยากจะมีเรื่องด้วย เพราะทุกคนต่างก็มีความชำนาญทั้งทางด้านหมัดมวยและด้านอาวุธต่างๆ อย่างดีเยี่ยม

“แต่ก็อย่าวางใจไปนักนะชารีฟ เราอยู่ในที่แจ้งส่วนพวกมันอยู่ในที่ลับ เรายังเสียเปรียบมันอยู่มาก แล้วพวกมันใช่พวกของอะดีบาหรือเปล่า” เจ้าชายราเชลหันมาเอ่ยถามพี่ชายที่อายุห่างกันเพียง 1 ปีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ข้าคาดว่าน่าจะใช่ เพราะข้าเองก็ได้รับรายงานมาว่าตอนนี้พวกมันกำลังมีการเคลื่อนไหว แต่ที่น่าสนใจก็คือ พวกมันมีการติดต่อซื้ออาวุธจากชาวต่างชาติด้วย ฟังแบบนี้แล้วก็คงรู้สินะว่าไม่ใช่ข้าคนเดียวแล้วที่จะไม่ปลอดภัย” เจ้าชายรัชทายาทรับสั่งเสียงเครียด พร้อมกับหันไปมองหน้าน้องชายทั้งสองคน

อะดีบา คือชื่อของผู้นำก่อการร้ายที่คิดแบ่งแยกดินแดนทางตอนเหนือออกจากดาบิย่า การปะทะกันระหว่างทางรัฐบาลกับผู้ก่อการร้ายมีขึ้นหลายครั้ง จุดมุ่งหมายของพวกมันก็คือการปลิดชีพขององค์ประมุขแห่งสหพันธรัฐดาบิย่าและเหล่าเชื้อพระวงษ์ทุกพระองค์

“ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น องค์รัชทายาทคือคนที่สำคัญที่สุด และจะต้องอยู่ต่อไป ดังนั้นเจ้าควรจะระวังตัวให้มากกว่าคนอื่น อย่าทำอะไรที่มันเสี่ยงต่อชีวิตแบบนี้อีก” องค์มัสตาฟารับสั่งเสียงเข้ม และมองหน้าบุตรชายอย่างเอาจริงเอาจัง ก่อนจะรับสั่งต่อ

“เราต้องรีบจัดการเรื่องของพวกกบฎอะดีบาให้เร็วที่สุด ไม่งั้นมันต้องมีผลในแง่ลบกับความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศเราแน่”

”ลูกทราบพะยะค่ะและลูกก็กำลังเตรียมการอยู่ ลูกเองก็ได้รับข่าวสารบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อเรามาเมื่อวานนี้ด้วย มันจะเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เราขุดรากถอนโคนพวกมันได้พะยะค่ะ” ชารีฟกราบทูลพระบิดา

“ดี แต่พ่อขอเน้นว่าเจ้าจะต้องระวังตัวให้มากที่สุดแล้วอย่าคิดทำอะไรที่ไร้สติเด็ดขาด ขอให้เจ้าสำนึกอยู่เสมอว่าเจ้าคือองค์รัชทายาทแห่งสหพันธรัฐดาบิย่า”

“พะยะค่ะ” เจ้าชายชารีฟค้อมศีรษะรับคำดำรัสของพระบิดา แววเนตรทอดตรงไปเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลทางด้านการบ้านการเมืองเรื่องนี้จึงต้องเป็นเขาเท่านั้นที่จะจัดการ

กรุงเทพฯ ประเทศไทย

ก๊อก! ก๊อก!

“เข้ามา”

สิ้นเสียงอนุญาตร่างเพรียวบางได้สัดส่วนของหญิงสาว 2 คน ก็ก้าวเข้ามาในห้องทำงานสุดหรูของท่านประธานหนุ่มลูกครึ่งแห่งบริษัทฟอร์แมนเก็ตติ้งจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ต่างๆสำหรับบุรุษ

“ผู้จัดการบอกว่าท่านประธานต้องการพบพวกเราหรือคะ” รติรสเอ่ยถามเสียงหวาน พร้อมกับคลี่ยิ้มส่งให้กับเจ้านายหนุ่มนิดหนึ่ง

“ใช่...เชิญนั่งก่อนสิ” โทมัสคลี่ยิ้มให้ลูกน้องสาวทั้งสองพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญ และเมื่อทั้งคู่นั่งลงเรียบร้อยแล้วเขาจึงพูดต่อ

“ผมมีข่าวดีที่จะแจ้งให้พวกคุณทราบ คือว่าตอนนี้ผมได้ขยายตลาดไปยังต่างประเทศ และคุณ 2 คน ก็คือพนักงานที่ผมและกรรมการบริษัทคัดเลือกแล้วว่าเหมาะสม ที่จะให้ไปประจำอยู่ที่สาขาต่างประเทศเป็นเวลา 1 ปี เพราะคุณ 2 คนทำยอดขายทะลุเป้าทุกเดือน ทั้งยังเป็นพนักงานขายดีเด่นของทางบริษัทของเราอีกด้วย แล้วถ้าพวกคุณทำยอดขายได้ทะลุเป้าที่ผมตั้งเอาไว้ ผมก็จะมีรางวัลให้” เขาคลี่ยิ้มกว้างตบท้าย

“รางวัลอะไรหรือค่ะท่านประธาน?” นรีกานต์ถามขึ้นทันทีด้วยความอยากรู้และตื่นเต้น เพราะคำว่ารางวัลนี่แหละที่มันดึงดูดใจพนักงานสาว

“บ้าน รถยนต์ และตำแหน่งผู้จัดการสาขา ของพวกนี้จะเป็นของพวกคุณทันที ถ้าพวกคุณทำได้” ประธานหนุ่มกล่าว พร้อมกับอมยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองหันไปทำตาโตใส่กัน