ตอนที่ 5 เด็กหญิงในความทรงจำ (2/3)
“พอจะบอกฉันได้ไหมว่ามันคือรูปของอะไร เธอวาดอะไรเหรอ?” สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถเข้าถึงภาพนั้นได้ จึงเลือกที่จะเอ่ยถามผู้เป็นเจ้าของผลงาน
“มันคือความรู้สึกของผมครับ” เด็กชายตอบอย่างหนักแน่น
“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมถึงมีแค่สีดำกับสีขาว แล้วทำไมถึงต้องเป็นวงกลมกับเส้นตรงด้วยล่ะ?” ไมเคิลถามต่อ เพราะเขายังคงไม่เข้าใจมันอยู่ดี
“สีดำคือความรู้สึกไม่ดีที่อยู่ภายในใจผมครับ แล้วที่มันเป็นวงกลมเพราะว่ามันไม่มีวันหมดสักที มันจะรู้สึกแย่แบบนี้วนไปวนมาซ้ำๆ เหมือนกับวงกลมที่ไม่มีจุดสิ้นสุด” แววตาของเจโรมเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดขณะอธิบายให้เพื่อนต่างวัยฟัง
“แล้วสีขาวล่ะ”
“สีขาวคือความสุขครับ ความสุขที่ได้พบคุณอาได้คุยกับคุณอาแบบนี้ ซึ่งผมไม่รู้ว่าช่วงเวลาแบบนี้จะอยู่กับผมอีกนานแค่ไหน”
“…”
“แต่ผมมั่นใจว่ามันจะต้องมีวันสิ้นสุด เหมือนเส้นตรงที่มีทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบครับ” หลังจากพูดจบดวงตากลมใสในตอนแรกก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่น้ำตาจะคลอออกมาและพร้อมจะร่วงรินอาบแก้ม แต่เด็กชายก็ยังคงฝืนเอาไว้เพื่อไม่ให้มันไหลริน
“ร้องออกมาเถอะเจโรม การร้องไห้ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นคนอ่อนแอหรอกนะ” ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบศีรษะเล็กของเด็กชายเบาๆ ความอบอุ่นอ่อนโยนทำให้เจโรมปล่อยโฮออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“แล้วแบบไหนเหรอครับที่เรียกว่าคนอ่อนแอ” เมื่อผ่านไปสักพักเด็กน้อยก็เริ่มเบาการร้องไห้ เขาเอ่ยถามในสิ่งที่ตนเองสงสัย
“คนอ่อนแอคือคนที่จมอยู่กับความเศร้า ไม่รู้จักปล่อยวางและดึงรั้งมันไว้ให้อยู่กับตัวเอง ปล่อยให้มันกัดกินความรู้สึกซ้ำแล้วซ้ำอีก”
“นี่คือคนอ่อนแอเหรอครับ?” ดวงตาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา มองมายังนักจิตวิทยาส่วนตัวด้วยความสงสัย
“ใช่ จำไว้นะเจโรม อย่าปล่อยให้ความเสียใจครอบงำตัวเองเด็ดขาด”
“…”
“เธอจะรู้สึกเศร้าหรือจะผิดหวังอะไรก็ได้ จะร้องไห้ออกมาสักกี่ครั้งเธอก็ไม่ผิด แต่เมื่อร้องไห้แล้วต้องรู้จักหยุดอย่าไปจมอยู่กับมัน เข้าใจไหม?” เมื่อพูดจบ ไมเคิลก็ทวนถามเด็กน้อยที่กำลังนั่งตั้งใจฟังเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
“เข้าใจครับคุณอา ผมจะไม่เป็นคนอ่อนแอ ผมจะต้องเข้มแข็งอย่างที่คุณอาสอนให้ได้” แววตามุ่งมั่นฉายชัดในดวงตากลมแป๋วทั้งสองข้าง ทำให้ไมเคิลยิ้มอย่างเอ็นดูออกมา
“เอาล่ะ วันนี้ก็พอแค่นี้แล้วกัน ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นมากแล้ว อีกหน่อยเธอคงได้ออกไปวิ่งเล่นข้างนอกกับเพื่อนแน่ๆ”
“แต่ผม...ไม่มีเพื่อนนะครับ” ความสดใสเมื่อครู่หม่นหมองลงอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงหรอก เด็กน่ารักอย่างเธอสักวันจะต้องมีเพื่อนแน่ๆ เชื่อฉันสิ”
“ครับคุณอา” รอยยิ้มสดใสเจิดจรัสอย่างมีความหวัง ทุกคำที่ไมเคิลพร่ำบอกพร่ำสอนเจโรมเชื่อมันอย่างสนิทใจ เด็กน้อยไม่มีความหวาดระแวงหรือไม่ไว้ใจเขาเลยสักครั้ง
“พักผ่อนเถอะนะ เดี๋ยวฉันขอตัวไปหาป้าของเธอก่อน ไว้เจอกันใหม่วันเสาร์หน้านะเด็กดี” ร่างสูงหยัดกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะเก็บข้าวของของตนเอง ใส่ไว้ในกระเป๋าตามเดิมหลังจากบันทึกข้อมูลเสร็จ
“ผมจะรอเจอคุณอานะครับ” เจโรมยิ้มกว้างจนตาหยี ไมเคิลเองก็ไม่ลืมที่จะยิ้มรับเด็กชายตรงหน้า ก่อนที่เขาจะหันหลังและเดินออกจากห้อง เพื่อไปหาผู้เป็นป้าของเด็กชาย ที่ห้องทำงานของเธอซึ่งอยู่อีกฟากของบ้าน
อลิซาเบธซึ่งนั่งกินอมยิ้มรออยู่ด้านล่างเริ่มอยู่ไม่สุข เมื่อช่วงเวลาที่พ่อของเธอหายไปเริ่มยาวนานขึ้นเรื่อยๆ เด็กน้อยวัยสิบสองขวบที่กำลังซุกซน อยากรู้อยากเห็นไปซะทุกเรื่อง มีหรือจะทนอยู่เฉยๆ ได้นานนัก
ร่างเล็กๆ ตะมุตะมิน่ารักเคลื่อนกายออกจากโซฟา ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนเพื่อตามหาบิดาของตนเอง
สองเท้าน้อยๆ พาร่างปุ๊กลุ๊กเดินไปทั่วชั้นสอง ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง ซึ่งมีขนาดบานประตูใหญ่โตมโหฬารกว่าห้องอื่นๆ มากนัก แต่มันบังเอิญปิดไม่สนิทและมีช่องว่างแง้มเอาไว้อยู่ ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของอลิซาเบธก่อกำเนิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
มือเล็กๆ ดันบานประตูที่ใหญ่กว่าขนาดตัวของเธอเกือบสิบเท่าออกอย่างยากลำบาก ด้วยความหนักของประตูไม้โอ๊คซึ่งแกะสลักอย่างประณีตสวยงาม ทำให้ร่างน้อยๆ ของเด็กหญิงถลาคว่ำหน้าลงบนพื้นพรมที่ปูอยู่ ดีที่เธอถืออมยิ้มเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงได้เกิดอันตรายขึ้นแน่ๆ
