ตอนที่ 3 เจ้าชายบนหอยคอ เอ้ย หอคอย
“คุณไอรีนครับ ผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมขอลาออก!!” ชายวัยกลางคน เดินปรี่เข้าไปภายในห้องทำงานสุดหรู หลังจากที่เลขาคนสนิทของเจ้าของห้องทำงานแห่งนี้เปิดประตูให้เขา
“ไม่มีหนทางอื่นนอกจากลาออกแล้วเหรอคะคุณภานุ ลาพักร้อนสักสองอาทิตย์ไหมเผื่อคุณจะดีขึ้น หรือคุณอยากได้ค่าตอบแทนเพิ่มฉันจ่ายให้ได้นะคะ”
หญิงวัยห้าสิบกลางๆ ที่สภาพผิวหน้าและเนื้อหนังยังคงตึงเต่ง จากการดูแลรักษาด้วยครีมบำรุงราคาแพงเป็นอย่างดี เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่แลดูกังวลพอสมควร
“ไม่ครับ ผมต้องการลาออก คุณหานักบำบัดหรือนักจิตวิทยาคนอื่นมาแทนผมเถอะ ผมคิดว่าผมทำหน้าที่นี้ไม่ได้จริงๆ” ภานุยังคงยืนยันในคำพูดแรกของตนเอง แม้ข้อเสนอที่อีกฝ่ายยื่นมาให้นั้นมันจะดูน่าสนใจมากแค่ไหนก็ตามที
การดูแลรักษาคนที่มีสภาวะทางอารมณ์ไม่ปกติ มันเป็นหน้าที่ของนักจิตวิทยาอย่างเขาอยู่แล้ว
หากแต่คนคนนั้นกลับไม่ให้ความร่วมมือหรืออยากได้รับการบำบัดรักษา การเอาเขาไปนั่งๆ นอนๆ อยู่เปล่าๆ อย่างไร้ประโยชน์ดั่งเช่นที่ผ่านมาร่วมเดือนนั้น เขาทำไม่ได้ จรรยาบรรณของการเป็นนักบำบัดมันค้ำคอ และบีบบังคับความรู้สึกให้เขาต้องมาลาออกในวันนี้
“ถ้าคุณตัดสินใจมาแน่วแน่แล้ว ดิฉันก็คงจะไม่รั้งคุณเอาไว้ ขอบคุณมากนะคะ ที่เสียสละเวลาอันมีค่ามาดูแลหลานชายของฉัน” ไอรีนก้มหัวให้ฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อยด้วยความเคารพ ก่อนที่ภานุจะก้มหัวกลับให้เธอและหันหลังเดินจากไป
หลังจากผู้ชายคนนั้นพ้นสายตาไปแล้ว หญิงสาวจึงเอนแผ่นหลังให้แนบไปกับพนักพิงของเก้าอี้ทำงานตัวหนานุ่ม ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวพรืดด้วยความเหนื่อยใจ
“ไปเตรียมแฟ้มประวัตินักจิตวิทยารายใหม่ไว้ได้เลย” เธอหลับตาเอ่ยสั่งเลขาหนุ่มซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างมากนัก ก่อนจะยกมือเรียวที่ผิวเนื้อยังดูไม่หย่อนคล้อยขึ้นมานวดขมับของตนเองเบาๆ
“ครับ” โจนาธาน เลขาคู่ใจซึ่งทำงานกับไอรีนมาร่วมสิบปี เอ่ยรับคำสั่งอย่างเคร่งครัดก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อไปทำหน้าที่ของตน
ภายในห้องทำงานสีขาวสะอาดตาที่มีขนาดกว้างขวาง เฟอร์นิเจอร์ก็หรูหราสมฐานะผู้บริหาร เหลือเพียงไอรีนซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งซีอีโอชั่วคราวอยู่เพียงลำพัง
ตอนนี้เธอรู้สึกเหนื่อย เครียด และเป็นกังวลมาก ด้วยสาเหตุที่ว่า ‘เจโรม’ หลานชายเพียงคนเดียว ประธานบริษัทตัวจริงที่มีพนักงานกว่าหมื่นชีวิต ไหนจะบรรดาครอบครัวของพวกเขาอีก รวมๆ แล้วเบ็ดเสร็จเป็นแสนชีวิตที่ต้องดูแล ดันเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวไปเสียทุกเรื่อง แถมเขายังกลัวสังคมไม่กล้าออกมาพบเจอคนอื่น อีกทั้งยังไม่ยอมบำบัดรักษาอาการของตนเองอีก
ไม่ใช่ว่าการที่เป็นแบบนี้จะมีผลกระทบกับการใช้ชีวิตเสียทีเดียว หากแต่ชายหนุ่มจะมายืนร้องไห้ทุกครั้ง ที่บอร์ดบริหารพากันกดดันเขาอย่างนั้นก็ไม่ได้ ใครเขาจะให้ความเคารพนับถือ ลูกน้องที่ไหนจะเห็นหัวหรือให้ความยำเกรงกันเล่า
ถ้าเกิดว่าเจโรมให้ความร่วมมือสักนิด ไอรีนก็คงไม่ต้องมานั่งกังวลแบบนี้หรอก แต่นี่เจ้าหลานชายตัวดีดันไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ แม้แต่จะให้พบเห็นยังไม่มีโอกาสกันเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการบำบัดรักษา ไม่มีเลยสักครั้งที่นักบำบัดจะทำสำเร็จ นอกจากผู้ชายคนนั้นที่เกือบทำได้...
การเปลี่ยนนักจิตวิทยามาบำบัดอาการให้เขา พอๆ กับระยะเวลาในการเปลี่ยนแปรงสีฟันเลยก็ว่าได้ สามเดือนเปลี่ยนทีหรือบางคนก็ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ
นักจิตวิทยาหรือนักบำบัดบางคนเห็นแก่ได้ ชอบที่เจโรมไม่ให้ความร่วมมือ เพราะพวกนี้จะไม่ต้องทำอะไรเลยอยู่ฟรีกินฟรีอย่างสบายอุรา และรอรับเงินตอบแทนมหาศาลในแต่ละเดือนเพียงเท่านั้น
เมื่อครบกำหนดสามเดือนแล้วอาการของเจโรมยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น กลุ่มคนพวกนี้จะถูกยกเลิกสัญญา และเปลี่ยนเป็นนักจิตวิทยาคนใหม่เข้ามาแทน
น้อยครั้งนักที่ไอรีนจะเจอคนซึ่งมีจรรยาบรรณมากพอ ที่จะเดินมาขอลาออกเองอย่างภานุ เธอจึงไม่อยากจะเสียคนแบบนี้ไป แต่สุดท้ายก็ยื้อเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี
เจโรม หวัง หรือ เจย์ ชายหนุ่มเชื้อสายไทย-จีนวัยสามสิบปี ซึ่งเกิดมาบนกองเงินกองทองที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ ผู้เพียบพร้อมไปซะทุกด้านทั้งหน้าตาและฐานะ แต่กลับมีจุดด่างพร้อยในชีวิตจุดใหญ่เบ้อเริ่ม
เขาเกิดมาพร้อมสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่ปกติ รับรู้ความรู้สึกต่างๆ ได้ดีกว่าคนทั่วไป หรือที่ทุกคนเรียกอาการนี้ว่าเซนซิทีฟ (Sensitive)
แต่การเซนซิทีฟของเจโรมนั้นมันมากเกิน จนเขาแทบไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆ ได้ ความรู้สึกของเขานั้นเปราะบางราวกับเปลวไฟบนหัวไม้ขีด ที่เพียงแค่ลมหายใจเป่ารดเบาๆ ก็สามารถดับลงได้ทุกเมื่อ ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะอยู่คนเดียว และกลายเป็นคนกลัวสังคมในที่สุด
เจโรมสามารถร้องไห้ให้ได้กับทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารรสชาติถูกปากจนรู้สึกมีความสุข มองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามตรึงใจ หรือรู้สึกผิดที่ทำข้าวของต่างๆ พัง ถึงแม้ว่าของสิ่งนั้นมันจะดูไม่มีคุณค่าหรือมีราคาเท่าไหร่นัก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกระทบกระเทือนจิตใจในเรื่องใหญ่ๆ เขาไม่สามารถรับมือกับมันได้อย่างแน่นอน สิ่งที่เขาทำได้คือการจมดิ่งไปกับความรู้สึกพวกนั้น และร้องไห้จนกว่าจะหมดแรงและหมดสติไปเอง
นี่เป็นหนึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้ชายหนุ่มผู้น่าสงสารคนนี้ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของตนเองเพียงลำพัง ดั่งเจ้าหญิงราพันเซลผู้ไม่เคยมีโอกาสได้ออกไปผจญภัยในโลกกว้าง และแทบไร้ประสบการณ์ได้รู้จักพูดคุยกับคนอื่นๆ แต่มันแตกต่างกันตรงที่ว่า...พ่อแม่ของเขาต้องการที่จะปกป้อง ไม่ได้หวังผลประโยชน์เหมือนกับแม่เลี้ยงใจร้ายในเทพนิยาย
เจโรมใช้ชีวิตแบบนี้มาโดยตลอด อยู่ในห้องเพียงลำพัง อ่านหนังสือ วาดรูป ทำกิจกรรมต่างๆ คนเดียว มีออกไปเดินเล่นในสวนบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก่อนจะออกไปก็จะสั่งให้คนรับใช้ภายในบ้านอยู่แต่ในห้อง เพราะเขาไม่ต้องการเจอหน้าใครทั้งนั้น
และอีกที่ที่เจโรมชื่นชอบ คือเรือนกระจกซึ่งภายในบรรจุไปด้วยดอกกุหลาบที่แม่เขารัก เจโรมชอบใช้เวลาอยู่ในนั้นมาก มากเสียจนบางทีเขาลืมเวลาที่จะกลับห้องด้วยซ้ำ
ปัจจุบันชายหนุ่มยอมให้ไอรีนเจอหน้าและพูดคุยด้วยบ้างแล้ว แต่กว่าจะได้โอกาสนี้มา จากเด็กน้อยตัวเล็กในวัยสิบสองขวบ ก็กลายเป็นชายหนุ่มวัยเจริญพันธุ์ ที่ควรจะต้องมีครอบครัวได้แล้วในตอนอายุสามสิบปี ถือว่าเป็นระยะเวลาที่เนิ่นนานยิ่งนักสำหรับผู้เป็นป้า
อาการที่เจโรมเป็นนั้นนักจิตวิทยาเรียกมันว่า HSP หรือ Highly Sensitive Personality Trait
กลุ่มคนที่มีอาการเช่นนี้เปรียบเสมือนก้อนโอเอซิสแห้งกรัง ที่พร้อมจะซึมซับเอาทุกๆ อย่างรอบตัว เข้ามาเกี่ยวโยงกับความรู้สึกของตัวเองไปเสียทั้งหมด และความสามารถในการจัดการกับความรู้สึกนั้นก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก หรือบางคนอาจจะเข้าขั้นแย่
ยกตัวอย่างเช่นผู้ชายคนนี้...
.
.
โถ~ พ่อราพันเซลของไรต์ รอก่อนนะคะ เจ้าหญิงกำลังขี่หมาไปช่วย
