ตอนที่ 5 เสี่ยวจื่อเจอไส้เดือนสองตัว
ตอนที่ 5 เสี่ยวจื่อเจอไส้เดือนสองตัว
ในเขตปลอดภัยเล็กๆ ที่ดินแดนลับแลนี้ วันเวลาแห่งความสงบสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นครึ่งปี ท่ามกลางความสนิทสนมของเฟยหลงและเสี่ยวจื่อที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน นับเป็นความผูกพันอย่างคนที่ได้พบเจอพูดคุยใกล้ชิดกันทุกวัน
แต่กระนั้น ความสัมพันธ์ก็ยังมิได้ลึกซึ้งจนเรียกขานได้ว่าเป็นเพื่อนแท้หรือพี่น้องที่พอจะพึ่งพากันได้ในยามจำเป็น
สำหรับเสี่ยวจื่อ พี่ไส้เดือนนับเป็นเพื่อนที่พูดได้ที่นานๆ จะได้พบสักทีนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เมื่อเทียบกับเหล่าสรรพสัตว์ที่วิ่งไปวิ่งมารอบๆ หรือเพื่อนต้นไม้ต้นอื่นๆ ที่เป็นเพียงสัตว์และพืชธรรมดาย่อมต้องมีความพิเศษมากกว่า แต่ก็รู้ดีว่าสิ่งมีชีวิตเคลื่อนที่ได้ วันหนึ่งก็จะต้องเดินทางจากไปเพราะทนกับความเบื่อหน่ายในเขตที่มิได้มีอะไรเลยนี่ไม่ไหว เมื่อจากไปแล้วไม่นานเสี่ยวจื่อก็คงจะลืมเลือนตามนิสัยคิดน้อยลืมเร็วของเจ้าตัวเอง ดังนั้นในตอนนี้เมื่อมีเวลาก็อยากจะพบและพูดคุยกันเก็บเกี่ยวความสุขและความรู้สึกดีๆ ต่อกันไว้ให้ได้มากที่สุด
ระยะเวลาสั้นๆ เพื่อนใหม่ยังไม่ทำให้นิสัยใจคอของเสี่ยวจื่อเปลี่ยนแปลงไปได้มากนัก เคยปลงง่ายอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็นเหมือนก่อน
ส่วนเฟยหลงนั้นมีผลประโยชน์ทับซ้อนมากกว่านั้น…
เป็นเพราะตัวเขาถูกแม่เฒ่าพร่ำสอนมาตลอดว่าตนเองนั้นเป็นปีศาจงู ยามที่อยู่แดนปีศาจได้ฝึกปรือปราณหยินมาบ้างตามตำราของแม่เฒ่าที่ได้แอบลักอ่านเอา แต่ก็พบว่าสามารถเพิ่มพูนพลังได้ช้านัก มายามนี้ได้มาอยู่ใกล้ๆ เสี่ยวจื่อที่อุดมไปด้วยพลังหยินหยางมากมายทุกวัน แรกๆ ก็เลือกจะดูดซับเอาแต่พลังหยินตามเผ่าพันธุ์ แต่อยู่ๆ พลังหยางก็ไหลบ่าเข้ามาด้วยทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เฟยหลงจึงได้เริ่มรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วพลังพื้นฐานในร่างตนมิได้มีแค่พลังหยินของเผ่ามารเท่านั้น กลับยังมีพลังหยางของเผ่าเทพในสัดส่วนที่มากกว่าอีกด้วย
‘หรือว่าความจริงแล้วข้าจะเป็นลูกครึ่ง? …น่าสนใจทีเดียว….'
เฟยหลงมิใช่คนถือตนแบบที่คิดว่ามารต้องเดินวิถีมารเทพต้องเดินวิถีเทพ เขาเป็นแค่เด็กกำพร้าอายุห้าร้อยปีคนหนึ่ง ครอบครัวก็ไม่มี บ้านเกิดก็ไม่ชัดเจน เพราะแม่เฒ่าบอกว่าเก็บเขามาได้จากในป่าร้างแดนปีศาจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถูกบ่มเพาะเรื่องสายใยความรักของครอบครัวและความทะนงของเชื้อสาย เมื่อมิได้มีคนสั่งสอน แค่เอาตัวรอดให้ได้ไปวันๆ ก็นับว่าน่าพอใจแล้ว เชื้อสายจะเป็นอย่างไรมิใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ เขาแค่อยากได้พลังและอยากแข็งแกร่ง ถึงตอนนั้นอยากจะคิดจะทำอะไรก็ขีดเขียนเส้นทางเอาเองมิต้องใส่ใจเชื้อสายให้ปวดหัวอีก เมื่อเปิดใจดูดซึมรับเอาพลังทั้งหยินและหยางเข้ามาพร้อมๆ กันแล้วก็พบว่าพลังปราณของตนพัฒนาขึ้นได้รวดเร็วมาก ยิ่งอยู่ใกล้เสี่ยวจื่อพลังของเขาก็คล้ายจะยิ่งเพิ่มพูนได้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก คล้ายกับเสี่ยวจื่อผู้นี้มีพลังให้ดูดซับได้ไม่รู้จักหมดสิ้น
‘นี่ละมั้ง… ความพิเศษของเสี่ยวจื่อที่เจ้าตัวบอกเอาไว้…..’
ในตำราที่เคยอ่านมา ดินแดนลับแลแห่งนี้เต็มไปด้วยภูติและสัตว์พิเศษมากมายไม่แบ่งแยกเทพมาร เพราะเป็นดินแดนที่สมบูรณ์ไปด้วยพลังหยินและหยางสมดุลกัน อีกทั้งยังถูกคุ้มครองไว้เป็นสัดส่วนด้วยพลังของเทพพฤกษาแห่งบรรพกาล แยกเขตต่างๆ ให้ภูติอ่อนแอและภูติที่เข้มแข็งได้แยกกันอยู่ไม่เบียดเบียนกัน เช่นที่เขตแดนนี้มีแต่สัตว์เล็กๆ และพืชก็คงเพราะเป็นแดนหนึ่งที่ถูกแบ่งสรร จึงเหมาะเป็นที่ฟูมฟักพลังของภูติที่อ่อนแอ บางตัวเก็บตัวบ่มเพาะพลังมานานปีไม่ต้องผจญอันตรายใดๆ หากจะมีพลังมากหน่อยก็นับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ อย่างกรณีของเสี่ยวจื่อที่บอกว่าเกิดวนในวัฏจักรพืชมาหลายครั้งแล้วก็เป็นไปได้ว่าจะสะสมพลังไว้ได้หลายพันปีจึงได้แผ่กลิ่นอายพลังมากมายออกมาโดยไม่รู้ตัว
คนกระหายพลังทั้งยังอยู่ในวัยที่เป็นเด็กอ่อนแอเช่นเขาหากอยากอาศัยที่ปลอดภัยดูดซับพลังจากเสี่ยวจื่อมาบ้างนับเป็นความผิดเสียที่ไหน ไหนๆ เสี่ยวจื่อก็ไม่ได้คิดไปใช้พลังที่ไหนอยู่แล้ว แบ่งให้ข้าเสียหน่อยจะเป็นอะไรไป
เพราะคิดเช่นนี้ เฟยหลงจึงมาปักหลักเป็นงูเฝ้าต้นอ่อนเสี่ยวจื่อนับแต่นั้นเป็นต้นมา และก็เป็นเหตุผลให้หลังจากนั้นสัตว์เล็กสัตว์น้อยตัวอื่นจึงไม่เคยได้แวะเวียนเข้ามาใกล้เจ้าต้นไม้ติ๊งต๊องนี่อีกเลย… เพราะสำหรับพวกมันแล้ว เฟยหลงนับเป็นสัตว์ภูติที่อันตรายมากที่สุดในเขตแดนนี้เลย….
แต่ไม่ใช่ในวันนี้ ที่อยู่ๆ ก็มีเจ้าไส้เดือนตัวหนึ่งเลื้อยทะเล่อทะล่าเข้ามาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ.. หากเป็นสัตว์ภูติทั่วไปย่อมไม่กล้าทำเช่นนี้ ดังนั้นแปลว่าเจ้าไส้เดือนตัวนี้คงจะเป็นไส้เดือนธรรมดา ไม่ใช่ภูติ…
“เอ๋…. พี่ไส้เดือนตัวสีแดงเหรอ? ท่านเปลี่ยนสีได้ด้วยเหรอ? …”
เสี่ยวจื่อเอ่ยถามขึ้นมาอย่างแปลกใจยามที่ลืมตาตื่นขึ้นมายามเช้าแล้วได้พบว่าไม่ไกลนักจากต้นอ่อนของตนเองยังมีไส้เดือนตัวหนึ่งที่ดูแปลกตาไปกำลังตั้งหน้าตั้งตามุดขึ้นมุดลงเลื้อยพรวนดินอยู่
“……………”
“เอ๋? ทำไมพี่ไส้เดือนไม่คุยกับเสี่ยวจื่อล่ะ? …..”
“…………..”
“หง่า….. พี่ไส้เดือนโกรธเสี่ยวจื่อเหรอ? เสี่ยวจื่อทำอะไรผิดอ่า…..”
“….เฮ้อ…. เจ้าเซ่อ! นั่นมันใช่ข้าที่ไหนกัน ข้าก็ขดพันเจ้าอยู่ตรงนี้ไง!”
ได้ยินเสียคุ้นเคยแว่วๆ มาจากเบื้องล่าง เสี่ยวจื่อก็ก้มมองลงไปจนได้เห็นว่าพี่ไส้เดือนของตัวเองยังขดกายม้วนพันร่างของเสี่ยวจื่อไว้จริงๆ ตามที่อีกฝ่ายกล่าว แล้ว…พี่ไส้เดือนตัวสีแดงที่อยู่ตรงนู้นเป็นใครกันล่ะ?
“อ๋าาา พี่ไส้เดือนมีสองตัวเลย ดีเลย เสี่ยวจื่อจะได้มีเพื่อนคุยเยอะๆ >__